จากกรณี นายเจนภพ วีรพร
อายุ 37 ปี ขับรถเบนซ์ ซีแอลเอส 63 สีดำ หมายเลขทะเบียน ษง 3333 กทม.
ชนท้ายรถเก๋งฟอร์ด เฟียสต้า สีเทาดำ หมายเลขทะเบียน ฆย 6911 กทม.
บนถนนพหลโยธินขาออก ช่วงหลักกิโลเมตรที่ 52-53 ใต้ต่างระดับบางปะอิน หมู่ 8
ต.เชียงรากน้อย อ.บางปะอิน จ.พระนครศรีอยุธยา
แล้วเกิดเพลิงลุกไหม้ทำให้นายกฤษณะ ถาวร อายุ 32 ปี และ น.ส.ธันฐภัทร์
ฮ้อแสงชัย อายุ 34 ปีนิสิตปริญญาโท มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
เสียชีวิตคาซากรถเมื่อวันที่ 13 มี.ค.ที่ผ่านมา
ความคืบหน้าเมื่อวันที่ 28 พ.ย. ที่ศาลจังหวัดพระนครศรีอยุธยา นายเจนภพ วีรพร อายุ 37 ปี พร้อมทนายความ และญาติของ นายกฤษณะ ถาวร อายุ 32 ปี และ น.ส.ธันฐภัทร์ ฮ้อแสงชัย อายุ 34 ปี พร้อมทีมทนายความ ได้เดินทางตามคำสั่งศาลเพื่อทำการตรวจพยานเอกสารและกำหนดวันนัดสืบพยาน โดยในวันนี้ศาลจังหวัดพระนครศรีอยุธยา จะสอบถามจำเลยด้วยจะยอมรับสารภาพหรือปฎิเสธในคำฟ้องของพนักงานสอบสวน 7 ข้อหา โดยภายหลังการนัดตรวจสอบเอกสารประกอบคำฟ้องนายเจนภพ พร้อมครอบครัวและทีมทนายความ ได้เดินลงมาจากศาลด้วยสีหน้าวิตกกังวลและปฎิเสธที่จะให้ข้อมูลกับผู้สื่อข่าว
ด้านนางกมลรัตน์ ฮ้อแสงชัย อายุ 59 ปี มารดาของ น.ส.ธันฐภัทร์ พร้อมนายวิเชียร ชุปไธสง ทนายความ เปิดเผยว่า นายเจนภพรับสารภาพเพียงข้อหา ขับรถโดยประมาทอันอาจเกิดอันตรายแก่บุคคล และทรัพย์สินเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ส่วนอีก 6 ข้อหาให้การปฎิเสธ ศาลได้มีการนัดตรวจสอบเอกสารประกอบคำฟ้องอีกครั้งในวันที่ 2 ธ.ค. ในวันนี้ยังตรวจไม่เสร็จสิ้น วันนี้ทางครอบครัวได้ยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำพิพากษาให้จำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเป็น 100,635,503 บาท
"ถ้าศาลพิพากษาและได้เงินมาครอบครัวฮ้อแสงชัย จะนำเงินส่วนใหญ่ไปตั้งมูลนิธิสืบสานเจตนารมณ์ ตามที่น.ส.สาวธันฐภัทร์ ลูกสาวมีมาแต่เด็กในการที่จะนุบำรุงศาสนาพุทธ และจะตั้งมูลนิธิเพื่อรณรงค์การขับรถอย่างมีสติต่อไป ซึ่งจากการพิจราณาทางครอบครัวเราพบประเด็นใหม่หลายประเด็นจึงขอนำข้อเสนอไปพิจารณาใหม่ ตนเองอยากให้คดีนี้เป็นคดีตัวอย่าง ให้ประชาชนที่ประสบเหตุบนท้องถนนผู้ขับขี่รถยนต์ต้องมีความรับผิดชอบต่อการสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สิน ส่วนเรื่องของคดีให้เป็นไปตามกระบวนการยุติธรรม"นางกมลรัตน์ กล่าว
ขณะที่นางทิพย์ ถาวร อายุ 58 ปี มารดาของนายกฤษณะ เปิดเผยว่าตอบอะไรไม่ถูกที่นายเจนภพ รับสารภาพเพียงข้อหาเดียว ส่วนข้อหาอื่นไม่ยอมรับสาราภาพ ครอบครัวยังมีความรู้สึกเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ขอให้เป็นหน้าที่ของกระบวนการยุติธรรม
ความคืบหน้าเมื่อวันที่ 28 พ.ย. ที่ศาลจังหวัดพระนครศรีอยุธยา นายเจนภพ วีรพร อายุ 37 ปี พร้อมทนายความ และญาติของ นายกฤษณะ ถาวร อายุ 32 ปี และ น.ส.ธันฐภัทร์ ฮ้อแสงชัย อายุ 34 ปี พร้อมทีมทนายความ ได้เดินทางตามคำสั่งศาลเพื่อทำการตรวจพยานเอกสารและกำหนดวันนัดสืบพยาน โดยในวันนี้ศาลจังหวัดพระนครศรีอยุธยา จะสอบถามจำเลยด้วยจะยอมรับสารภาพหรือปฎิเสธในคำฟ้องของพนักงานสอบสวน 7 ข้อหา โดยภายหลังการนัดตรวจสอบเอกสารประกอบคำฟ้องนายเจนภพ พร้อมครอบครัวและทีมทนายความ ได้เดินลงมาจากศาลด้วยสีหน้าวิตกกังวลและปฎิเสธที่จะให้ข้อมูลกับผู้สื่อข่าว
ด้านนางกมลรัตน์ ฮ้อแสงชัย อายุ 59 ปี มารดาของ น.ส.ธันฐภัทร์ พร้อมนายวิเชียร ชุปไธสง ทนายความ เปิดเผยว่า นายเจนภพรับสารภาพเพียงข้อหา ขับรถโดยประมาทอันอาจเกิดอันตรายแก่บุคคล และทรัพย์สินเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ส่วนอีก 6 ข้อหาให้การปฎิเสธ ศาลได้มีการนัดตรวจสอบเอกสารประกอบคำฟ้องอีกครั้งในวันที่ 2 ธ.ค. ในวันนี้ยังตรวจไม่เสร็จสิ้น วันนี้ทางครอบครัวได้ยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำพิพากษาให้จำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเป็น 100,635,503 บาท
"ถ้าศาลพิพากษาและได้เงินมาครอบครัวฮ้อแสงชัย จะนำเงินส่วนใหญ่ไปตั้งมูลนิธิสืบสานเจตนารมณ์ ตามที่น.ส.สาวธันฐภัทร์ ลูกสาวมีมาแต่เด็กในการที่จะนุบำรุงศาสนาพุทธ และจะตั้งมูลนิธิเพื่อรณรงค์การขับรถอย่างมีสติต่อไป ซึ่งจากการพิจราณาทางครอบครัวเราพบประเด็นใหม่หลายประเด็นจึงขอนำข้อเสนอไปพิจารณาใหม่ ตนเองอยากให้คดีนี้เป็นคดีตัวอย่าง ให้ประชาชนที่ประสบเหตุบนท้องถนนผู้ขับขี่รถยนต์ต้องมีความรับผิดชอบต่อการสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สิน ส่วนเรื่องของคดีให้เป็นไปตามกระบวนการยุติธรรม"นางกมลรัตน์ กล่าว
ขณะที่นางทิพย์ ถาวร อายุ 58 ปี มารดาของนายกฤษณะ เปิดเผยว่าตอบอะไรไม่ถูกที่นายเจนภพ รับสารภาพเพียงข้อหาเดียว ส่วนข้อหาอื่นไม่ยอมรับสาราภาพ ครอบครัวยังมีความรู้สึกเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ขอให้เป็นหน้าที่ของกระบวนการยุติธรรม
