เมื่อวันที่ 11 ธันวาคม นายชาญเชาวน์ ไชยานุกิจ ปลัดกระทรวงยุติธรรม เปิดเผยว่า ภายหลังมีพระราชกฤษฎีกาพระราชทานอภัยโทษ เนื่องในโอกาสแรกนับแต่ขึ้นทรงราชย์สืบราชสันตติวงศ์ พ.ศ.2559
ได้มอบหมายกรมราชทัณฑ์ ดำเนินการตามขั้นตอนการปล่อยตัวผู้ต้องขัง
ที่เข้าหลักเกณฑ์ตามพระราชกฤษฎีกา พระราชทานอภัยโทษ
ว่าได้สั่งการให้นายกอบเกียรติ กสิวิวัฒน์ อธิบดีกรมราชทัณฑ์
ทำหนังสือแจ้งไปเรือนจำทุกแห่ง
เพื่อให้แต่ละเรือนจำคัดกรองและตรวจสอบผู้ต้องขัง ก่อนจะนำเสนอศาลในพื้นที่
เพื่อให้ศาลพิจารณาออกหมายปล่อยต่อไป อย่างไรก็ตาม
ขณะนี้ตนยังไม่สามารถระบุได้ว่าในครั้งนี้จะมีผู้ต้องขังที่ได้รับพระมหากรุณาธิคุณได้รับพระราชทานอภัยโทษตาม
พ.ร.ฎ.นี้
กี่รายเนื่องจากต้องรอการตรวจสอบรายชื่อผู้ต้องขังจากทางเรือนจำก่อน
นายชาญเชาวน์ กล่าวด้วยว่า ได้เน้นย้ำให้ผู้บัญชาการเรือนจำทุกแห่งได้แจ้งเรื่องบริการให้กับผู้ต้องขังที่ได้รับการปล่อยตัวพ้นเรือนจำได้ทราบด้วย เนื่องจากจะมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันทำงานแบบบูรณาการตามมติครม. ในการช่วยเหลือผู้ต้องขังที่ได้รับการปล่อยตัวคอยให้บริการ เช่น กระทรวงมหาดไทย (มท.) กระทรวงแรงงาน กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) จึงอยากให้ผู้ต้องขังกลุ่มนี้ไปขอรับบริการได้ยังหน่วยงานดังกล่าว ซึ่งจะคอยให้คำปรึกษาทั้งในเรื่องการจัดหาอาชีพและสุขภาพ ทั้งนี้ กรณีถ้าผู้ต้องขังรายนั้นๆ ได้รับการปล่อยตัวพ้นเรือนจำ หรือหมายลดวันต้องโทษ ซึ่งเป็นกรณีไป ยืนยันว่าผู้ต้องขังที่ได้รับการอภัยโทษในครั้งนี้ต้องเป็นผู้ต้องขังที่อยู่ในชั้นดี ชั้นดีมาก และชั้นเยี่ยม ซึ่งเป็นกระบวนการพิจารณาและการคิดมาชั้นหนึ่งแล้ว หากเรือนจำไหนพร้อมก็สามารถปล่อยตัวทันที โดยจะไม่มีการปล่อยเป็นรอบเหมือนครั้งที่ผ่านมา
ด้านนายกอบเกียรติ กล่าวว่า เบื้องต้นคาดว่าผู้ต้องขังประมาณ 1 แสน รายจากเรือนจำทั่วประเทศ จะได้รับสิทธิตามพระราชกฤษฎีกา พระราชทานอภัยโทษ ครั้งนี้ ซึ่งหมายถึงการปล่อยตัวและลดวันต้องโทษ ซึ่งกลุ่มที่จะได้รับการปล่อยตัวพ้นเรือนจำ คาดว่าประมาณ 30,000 ราย โดยรวมถึงกลุ่มที่ลดวันต้องโทษ และครบเงื่อนไขการปล่อยตัวเหมือนครั้งที่ผ่านๆมา สำหรับกลุุ่มคดีความผิดตาม ม.112 จะได้รับการลดวันต้องโทษ
รายงานข่าวแจ้งว่า สำหรับผู้ต้องขังที่เข้าข่ายที่ได้รับสิทธิตามหลักเกณฑ์พระราชกฤษฎีกา พระราชทานอภัยโทษ จะมีทั้งสิ้นประมาณ 1 แสนราย จากเรือนจำทั่วประเทศ เป็นผู้ต้องขังตั้งแต่ชั้นดี - ชั้นเยี่ยม ลดวันต้องโทษ ตามชั้นนักโทษ ส่วนผู้ต้องขังที่ได้รับการปล่อยตัวจะ เป็นกลุ่ม ไปตามมาตรา 5 คือ ผู้ต้องกักขัง ผู้ทํางานบริการสังคมหรือทํางานสาธารณประโยชน์แทนค่าปรับ และ ผู้ได้รับการปล่อยตัวคุมประพฤติ นอกจากนี้ยังมีผู้ต้องขังที่ได้รับการลดวันต้องโทษ ตามมาตรา 7 ซึ่ง ผู้ต้องขังความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา 112 จะได้รับการลดวันต้องโทษ ตามพระราชกฤษฎีกา พระราชทานอภัยโทษ ฉบับนี้ด้วย ซึ่งกำหนดให้ผู้ต้องขังชั้นดี - ชั้นเยี่ยม ได้ลดวันต้องโทษ ตามลำดับชั้น ซึ่งชั้ยเยี่ยมจะได้ลดวันต้องโทษ ครึ่งหนึ่ง หรือ 1 ใน 2 ในโทษที่เหลืออยู่ ส่วนชั้นดีมากได้ลดวันต้องโทษ 1 ใน 3 ชั้นดี ได้ 1 ใน 4
นายชาญเชาวน์ กล่าวด้วยว่า ได้เน้นย้ำให้ผู้บัญชาการเรือนจำทุกแห่งได้แจ้งเรื่องบริการให้กับผู้ต้องขังที่ได้รับการปล่อยตัวพ้นเรือนจำได้ทราบด้วย เนื่องจากจะมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันทำงานแบบบูรณาการตามมติครม. ในการช่วยเหลือผู้ต้องขังที่ได้รับการปล่อยตัวคอยให้บริการ เช่น กระทรวงมหาดไทย (มท.) กระทรวงแรงงาน กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) จึงอยากให้ผู้ต้องขังกลุ่มนี้ไปขอรับบริการได้ยังหน่วยงานดังกล่าว ซึ่งจะคอยให้คำปรึกษาทั้งในเรื่องการจัดหาอาชีพและสุขภาพ ทั้งนี้ กรณีถ้าผู้ต้องขังรายนั้นๆ ได้รับการปล่อยตัวพ้นเรือนจำ หรือหมายลดวันต้องโทษ ซึ่งเป็นกรณีไป ยืนยันว่าผู้ต้องขังที่ได้รับการอภัยโทษในครั้งนี้ต้องเป็นผู้ต้องขังที่อยู่ในชั้นดี ชั้นดีมาก และชั้นเยี่ยม ซึ่งเป็นกระบวนการพิจารณาและการคิดมาชั้นหนึ่งแล้ว หากเรือนจำไหนพร้อมก็สามารถปล่อยตัวทันที โดยจะไม่มีการปล่อยเป็นรอบเหมือนครั้งที่ผ่านมา
ด้านนายกอบเกียรติ กล่าวว่า เบื้องต้นคาดว่าผู้ต้องขังประมาณ 1 แสน รายจากเรือนจำทั่วประเทศ จะได้รับสิทธิตามพระราชกฤษฎีกา พระราชทานอภัยโทษ ครั้งนี้ ซึ่งหมายถึงการปล่อยตัวและลดวันต้องโทษ ซึ่งกลุ่มที่จะได้รับการปล่อยตัวพ้นเรือนจำ คาดว่าประมาณ 30,000 ราย โดยรวมถึงกลุ่มที่ลดวันต้องโทษ และครบเงื่อนไขการปล่อยตัวเหมือนครั้งที่ผ่านๆมา สำหรับกลุุ่มคดีความผิดตาม ม.112 จะได้รับการลดวันต้องโทษ
รายงานข่าวแจ้งว่า สำหรับผู้ต้องขังที่เข้าข่ายที่ได้รับสิทธิตามหลักเกณฑ์พระราชกฤษฎีกา พระราชทานอภัยโทษ จะมีทั้งสิ้นประมาณ 1 แสนราย จากเรือนจำทั่วประเทศ เป็นผู้ต้องขังตั้งแต่ชั้นดี - ชั้นเยี่ยม ลดวันต้องโทษ ตามชั้นนักโทษ ส่วนผู้ต้องขังที่ได้รับการปล่อยตัวจะ เป็นกลุ่ม ไปตามมาตรา 5 คือ ผู้ต้องกักขัง ผู้ทํางานบริการสังคมหรือทํางานสาธารณประโยชน์แทนค่าปรับ และ ผู้ได้รับการปล่อยตัวคุมประพฤติ นอกจากนี้ยังมีผู้ต้องขังที่ได้รับการลดวันต้องโทษ ตามมาตรา 7 ซึ่ง ผู้ต้องขังความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา 112 จะได้รับการลดวันต้องโทษ ตามพระราชกฤษฎีกา พระราชทานอภัยโทษ ฉบับนี้ด้วย ซึ่งกำหนดให้ผู้ต้องขังชั้นดี - ชั้นเยี่ยม ได้ลดวันต้องโทษ ตามลำดับชั้น ซึ่งชั้ยเยี่ยมจะได้ลดวันต้องโทษ ครึ่งหนึ่ง หรือ 1 ใน 2 ในโทษที่เหลืออยู่ ส่วนชั้นดีมากได้ลดวันต้องโทษ 1 ใน 3 ชั้นดี ได้ 1 ใน 4