คนที่ไม่มีลูก พอแก่มาแล้วใครจะเลี้ยง

อ ย  า ก ให้ทำความเข้าใจว่า ความคิดของคนสมัยก่อนนั้น คิดว่ามีลูกเพื่อหวังจะให้

พวกเขาเลี้ยงดูใน ย  า ม ช่วงปลายชีวิต ความคิดนี้มีสืบกันมานานมาก ซึ่งเป็นจริงเสียด้วย

ในสังคมเรา แต่ว่าหากจะมองในแง่ความจริงแล้วแนวคิดนี้ยังใช้ได้อยู่ไหม

ต้องมีลูก ตอนแก่จะได้มีคนเลี้ยงดู ซึ่งมันจะแปลได้อีกทางว่า หากลูกไม่ยอมเลี้ยงดู

คือ อกตัญญูอย่างนั้นหรือ หรือที่จริงมองว่าพ่อแม่ เห็นแก่ตัวกันหรือเปล่า

 

ช่วงสมัยนี้มีคนแก่ชราหลายคนมากที่เข้ากับครอบครัวของลูก ๆ ไม่ได้ บางที

ความคิดที่เป็นแบบเดิมๆน่าจะต้องเปลี่ยนใหม่ ทำไมไม่คิดว่า อ ย  า ก จะให้ลูกเลี้ยงดู

ในตอนแก่เป็นการ ดูแลตัวเองได้ในตอนแก่บ้าง จะเอาความคิดเมื่อก่อนมาเทียบกัน

ในเวลานี้น่าจะใช้ไม่ได้ อย่างเช่นทีพ่อแม่มีลูกตั้งหลายคนยังเลี้ยงได้

ทำไมลูกเลี้ยงพ่อแม่บ้างไม่ได้ ซึ่งมันก็อาจจะน่าคิด แต่ลองมองถึงค่าครองชีพ

และการใช้ชีวิตของมนุษย์ในปัจจุบันว่าเหมือนเมื่อก่อนบ้างไหม

 

มีเรื่องมานำเสนอให้อ่าน เรื่องเป็นเกี่ยวกับแง่คิดมุมมองของคนเป็นพ่อแม่

และคนที่เป็นลูก เรื่องราวมีดังนี้

มีแม่คนหนึ่ง สามีจากไปนานแล้ว ตัวของเธอสอนหนังสือหาเงินเลี้ยงลูกชายจนโต

ลูกชายเขาเป็นคนเชื่อฟังตั้งแต่ตอนเล็ก พอลูกโต เธอก็ส่งลูกไปเรียนอเมริกา

พอลูกเรียนจบก็อยู่ทำงานต่อที่อเมริกาหาเงินซื้อบ้าน แต่งงาน มีลูกหนึ่งคน

สร้างครอบครัวที่แสนสุข ตัวเธอเองคิดถึงประโยคที่ว่ามีลูกจะได้มีคนเลี้ยงตอนแก่

คิดถึงสายตาอิจฉาของญาติและเพื่อนฝูง เธอมีความสุขจากใจ ร

ะหว่างรอจดหมายตอบจากลูกชาย เธอก็จัดการเรื่องบ้านและงานจนเรียบร้อย

 

ในช่วงคืนสุดท้ายก่อนที่ตัวของเธอจะเกษียณ เธอก็ได้รับจดหมายที่ส่งมาจากอเมริกา

ของลูกชาย พอเปิดออกดูข้างในก็เป็นเช็คมูลค่า 3 หมื่นเหรียญดอลล่าร์

เธอนั้นรู้สึกแปลกใจมาก เพราะลูกชายไม่เคยส่งเงินให้เธอมาก่อน เธอรีบเปิดจดหมาย

ออกอ่าน ในจดหมายเขียนว่า คุณแม่ครับ พวกเราได้คุยกันแล้ว ตัดสินใจ และสรุปว่า

พวกเราไม่ยินดีให้แม่มาอยู่ด้วยกันที่อเมริกา ถ้าแม่คิดว่าแม่มีบุญคุณที่

เลี้ยงดูผมมา คำนวณตามราคาตลาด ก็ประมาณ 2 หมื่นกว่าเหรียญ

ผมก็เลยเพิ่มให้นิดหน่อย แล้วส่งเช็ค 3 หมื่นมาให้แม่ หวังว่าต่อไปนี้

แม่จะไม่เขียนจดหมายมาอีก

พอคุณแม่อ่านจดหมายฉบับนั้นจบเท่านั้นแหละน้ำตาไหลพราก รู้สึกว่าตัวเอง

เป็นม่ายมาตลอดชีวิต จากนี้ไปต้องแก่อย่างโดดเดี่ยว

เธอ เ จ็  บ ป  ว ด จ น ไม่ อ ย  า ก มีชีวิต

ต่อมาเธอก็ศึกษาพระพุทธศาสนา หลังศึกษา เธอก็คิดได้ เธอใช้เงิน 3 หมื่นเหรียญ

เอาไปเดินทางเที่ยวรอบโลก ได้เห็นสิ่งใหม่ๆมากมาย

 

พอเที่ยวรอบโลก หลังจากนั้นเธอจึงเขียนจดหมายหนึ่งฉบับถึงลูกชาย ในจดหมายว่า

ลูกรัก ลูกไม่ อ ย  า ก ให้แม่เขียนจดหมายมาอีก ก็ถือซะว่าจดหมายฉบับนี้เป็น

ข้อความเพิ่มเติมจากฉบับที่แล้วละกัน แม่ได้รับเช็คแล้ว และใช้เงินจำนวนนั้น

ไปเดินทางรอบโลก ระหว่างเดินทางท่องเที่ยว อยู่ๆแม่ก็รู้สึกว่า แม่ควรขอบใจลูก

ขอบใจที่ทำให้แม่เห็นอะไรทะลุปรุโปร่ง ปล่อยวาง ทำให้แม่ได้เห็นว่า

ความสัมพันธ์ในครอบครัว เพื่อน และคนรักไม่มีรากหยั่งลึก เปลี่ยนแปลงได้เสมอ

 

ซึ่งถ้าวันนี้แม่ยังคิดไม่ตก ยังยึดติด ยังเศร้าอยู่ แม่คงจากไปไปภายในปีครึ่งปี

การปฏิเสธของลูก ทำให้แม่ได้เห็นว่าคนเรามีวาสนาก็ได้เจอ หมดวาสนาก็จากกัน

ทุกอย่างไม่เที่ยงแท้ ทำให้แม่เรียนรู้ที่จะสงบและใจเย็น มองทุกอย่างในเชิงบวก

แม่ไม่มีลูกแล้ว ไม่มีอะไรให้เป็นห่วง เพราะงั้นแม่ถึงสามารถอยู่ได้โดยไม่มีลูก

 

พ่อแม่ที่น่าสงส า  ร ใจจริงคนเป็นพ่อแม่ต่างก็ อ ย  า ก มอบสิ่งที่ดีที่สุดให้ลูก

แต่สุดท้ายแล้ว

สิ่งที่ได้รับกลับไม่ใช่สิ่งที่ดีที่สุดมีคนกล่าวไว้ว่า บ้านของพ่อแม่คือบ้านของลูกตลอด

เวลา บ้านของลูกไม่เคยเป็นบ้านของพ่อแม่ การให้กำเนิดลูกเป็นงาน

ที่ต้องทำ การเลี้ยงดูลูกเป็นหน้าที่ การพึ่งพาลูกเป็นความเข้าใจผิด

ช่างเป็นเรื่องราวที่ไม่น่าฟัง แต่ก็ไม่ฟังก็ไม่ได้ แม้ว่าไม่ใช่ลูกทุกคน

จะเป็นเหมือนลูกชายในเรื่องที่ ไม่ มี หัว ใ จ แต่คนเป็นพ่อแม่ไม่ควรคิดว่าแก่แล้ว

จะพึ่งพาลูก พูดกันตามตรง แก่แล้วต้องดูแลตัวเอง ลูกกตัญญูต่อคุณถือเป็นบุญ

ถ้าลูกกตัญญูไม่พอ พ่อแม่ก็บังคับไม่ได้วิธีที่ดีที่สุดคือ วางแผนชีวิตพึ่งพาตัวเองตอนแก่ไว้

 

พอได้ฟังแล้วมาย้อนดูมุมมองของสังคม การมีลูกจะได้มีคนเลี้ยงตอนแก่

เป็นความปรารถนาในใจ แต่ในยุคปัจจุบัน เศรษฐกิจ สังคม วัตถุนิยม วิถีการดำเนินชีวิต

ที่เปลี่ยนไป สถานการณ์ในปัจจุบันคือ คนยุคใหม่เปลี่ยนไป คนอายุมากยังยึดติด

การที่คนอายุมากยึดแนวความคิดว่ามีลูกจะได้มีคนเลี้ยงตอนแก่ไม่เหมาะสม

กับอีกต่อไป สิ่งที่ตามมาคือ เรื่องราวเศร้าต่างๆนาๆ

 

พ่อ แม่ ทวงบุญคุณกับลูกได้แต่มันไม่ใช่ลูกทุกคนที่มีศักยภาพพอ

ที่จะดูแลพ่อแม่ได้ เพราะเพียงแค่ชีวิตและครอบครัวของเรามันก็ต้องดูแลเช่นกัน

การวางแผนดูแลตัวเองตอนแก่จึงเป็นสิ่งที่คนเป็นพ่อ แม่คนควรวางแผน

และอย่าฝากความหวังทั้งหมดมาทิ้งไว้ที่ลูกได้แล้ว มันไม่ใช่ความผิดของลูก

ที่ดูแลคุณไม่ได้ แต่มันผิดที่คุณที่ไม่ยอมดูแลตัวเองต่างหาก ฝากไว้ให้คิดกันนะ

ขอขอบคุณบทความดีๆจาก   rugyim