คุณเคยสงสัยหรือไม่ว่า ทำไม ? “คนรวยยิ่งอยู่ยิ่งรวย คนจนยิ่งอยู่ไปมีแต่จะยิ่งจน” มาหาคำตอบกันเลยดีกว่า!

เป็นประเด็นที่น่าคิดจนแชร์ต่อกันไปในโลกโซเชียลเป็นอย่างมาก เมื่อล็อกอิน เม่าเรนเจอร์ ได้โพสต์บทความ “เหตุผลที่ว่าทำไมคนรวยจะยิ่งรวยขึ้น คนจนจะยิ่งจนขึ้น” เมื่อวันที่ 31 พ.ค.60 โดยอธิบายเหตุผลดังนี้
หลังจากที่ได้เปลี่ยนจากมนุษย์เงินเดือนมาเปิดโลกธุรกิจมาได้สักพัก จากประสบการณ์และการเรียนรู้และการศึกษาข้อมูลต่างๆทำให้ผมเชื่อว่าต่อไปคนรวยจะรวยยิ่งขึ้น คนจนจะจนยิ่งขึ้น เพราะอะไร? เหตุผลตามข้างล่างเลย

1. คนรวยมี Bargain power ที่สูง

คนที่ยังไม่เคยมาอยู่ในโลกของธุรกิจอาจจะไม่รู้ว่า ธุรกิจใหญ่ๆ มีอำนาจในการต่อรองในการซื้อ Supply ที่มากกว่าธุรกิจโนเนม เพราะทั้งชื่อเสียงและทั้งปริมาณในการสั่งซื้อ ทำให้ธุรกิจใหญ่ๆ นั้นมีต้นทุนที่ถูกกว่าธุรกิจเล็กๆ รวมถึงการเช่าที่ในการเปิดร้านต่างๆด้วย ธุรกิจที่มีชื่อเสียง จะสามารถเช่าที่ขนาดเท่ากันได้ถูกกว่าธุรกิจเจ้าเล็กๆ ที่ไม่มีชื่อ
คนรวยมีต้นทุนที่ถูกกว่า ส่วนคนที่จนกว่านั้นมีต้นทุนที่แพงกว่า แทนที่คนที่มีเงินน้อยนั้นควรจะได้ supply หรือค่าเช่าที่ถูกกว่า แต่เปล่าเลย มันตรงกันข้าม โลกของธุรกิจมันโหดร้าย
หรือแม้กระทั่งแค่ในโลกของคนทั่วๆ ไปที่ไม่ใช่คนทำธุรกิจ ลองไปดูเรื่องง่ายๆ อย่างการกู้ซื้อบ้าน คนรวยที่ซื้อบ้านแพงกว่าจะได้ดอกเบี้ยตลอดสัญญาที่ถูกกว่าคนจนที่มีเงินซื้อบ้านได้ถูกกว่า (เงื่อนไขของธนาคารกำหนดว่าถ้ากู้ซื้อเกิน x ล้านจะได้ดอกเบี้ยพิเศษ แต่ถ้าไม่เกินจะได้ดอกเบี้ยที่แพงกว่า)


2. เงินเหลือเก็บของคนรวยนั้นมากกว่า

ในขณะที่หลายๆ คนใช้เงินเดือนชนเดือน ไม่มีเงินเก็บไปลงทุนหรือทำอะไรต่อ เดือนนึงได้มา 100% อาจจะใช้ไป 90% เหลือแค่ 10% แต่คนรวยนั้นมีเงินเหลือเก็บมหาศาลจากรายได้ที่มาก อาจจะได้มา 100% แต่เนื่องจากปริมาณที่ได้มามาก ทำให้ค่าใช้จ่ายรายเดือนนั้นเป็นเรื่องเล็กน้อยไปเลย รายจ่ายใช้ชีวิตอาจจะเป็นแค่ 5% ของเงินที่ได้มาเท่านั้น ซึ่งจะมีเงินเหลือถึง 90-95% สำหรับเก็บออมและลงทุนใหม่เลยทีเดียว
ซึ่งตามหลักการลงทุน ยิ่งเงินลงทุนมาก ผลกำไรยิ่งมากตาม คุณลงทุน 1000 บาท กำไร 10% คุณก็ได้กลับมา 100 บาท แต่ถ้าคุณมีเงินเหลือสำหรับลงทุน 1,000,000 บาท คุณก็จะได้กลับมา 100,000 บาท


3. ปริมาณเงินและทรัพยากรในระบบที่มีอยู่อย่างจำกัด

ลองนึกถึงสภาพของเศรษฐกิจเล็กๆ ในหมู่บ้านที่มีคน 10 คน มีเศรษฐี 1 คน ลองคิดสภาพเงินที่มีอยู่อย่างจำกัดในระบบดูสิ ถ้าเงินในหมู่บ้านนั้นมีอยู่ทั้งหมด 1000 บาท เฉลี่ยแต่ละคนก็จะมีเงินประมาณ 100 บาท
แต่ลองมองย้อนกลับไปข้อ 1 และ ข้อ 2 ซึ่งจะเห็นได้ว่าคนรวยนั้นจะเก็บเงินได้มากยิ่งขึ้นจากการทำธุรกิจ จะมีกำไรจากเงินที่หมุนในระบบมากยิ่งขึ้นไปเรื่อยๆ
ลองคิดสภาพในหมู่บ้านเล็กๆ ถ้าเวลาผ่านไปคนรวยเก็บเงินจาก 100 ได้เป็น 500 แล้วเงินเหลือในระบบแค่ 500 สำหรับคน 9 คน 9 คนนั้นจะเหลือเงินเฉลี่ยกันคนละแค่ 50-60 กว่าบาทเท่านั้น แล้วยิ่งถ้าผ่านไปเรื่อยๆ อีกละ? คนรวยก็จะยิ่งมีเงินเยอะ คนจนก็จะยิ่งมีเงินน้อยลง


4. คนรวยทำธุรกิจกับคนรวยด้วยกันเอง

เรือล่มในหนอง ทองจะไปไหน? ก็ในเมื่อคนรวยเลือกที่จะทำธุรกิจส่วนใหญ่กับคนรวยด้วยกันเอง ทั้งในเรื่อง Supply และส่วนของธุรกิจแบบ B2B แล้วคนทำธุรกิจทั่วๆ ไปละ? แทบจะไม่มีสิทธิ์เลย ยกเว้นคุณจะมี Connection ที่จะช่วยดึงคุณขึ้นไปทำธุรกิจเพื่อเอาส่วนแบ่งจากเค้าได้


อ่านมาถึงตรงนี้แล้วเราต้องทำยังไง? คำตอบคือต้องรีบทำตัวเองให้รวย พอรวยแล้วไม่ประมาท ใช้เงินถูกวิธี จัดการความเสี่ยงในทุกๆ ด้านให้เหมาะสม จ้างคนมาทำให้ก็ได้ ถึงตอนนั้นใครสามารถขยับจากชนชั้นล่างหรือชนชั้นกลางขึ้นมาเป็นชนชั้นบนได้ ถึงตอนนั้นมันก็เหมือนว่าวที่ติดลมบนไม่หล่นลงมาง่ายๆ เค้าถึงมีคำพูดที่ว่าหาล้านแรกจากการลงทุนในหุ้นได้ ล้านต่อไปก็ไม่ยาก ก็ล้านต่อไปมันก็แค่ 2 เท่าของเงินเอง แต่ล้านแรกถ้ามาจากเงินแสนนี่มันตั้ง 10 เท่าที่ต้องทำให้ได้
อนาคตคนรวยยิ่งรวย คนจนยิ่งจน จะถีบตัวเองขึ้นมาก็มีแต่จะยากขึ้นเรื่อยๆ
สำหรับคุณแล้วจริงหรือไม่? ลองถามใจตัวเองดู บางทีแล้วทัศนคติคำว่า “จน” และ “รวย” ของคนเราก็แตกต่างกันได้

แหล่งที่มา: chit-in.com