Home »
Uncategories »
แบงก์กสิกรโดนแฮ็ก! ฉกข้อมูลลูกค้า3,000รายเมื่อ25ก.ค.ที่ผ่านมา สั่งเพิ่มระบบป้องกันเข้มขึ้นแล้ว!
แบงก์กสิกรโดนแฮ็ก! ฉกข้อมูลลูกค้า3,000รายเมื่อ25ก.ค.ที่ผ่านมา สั่งเพิ่มระบบป้องกันเข้มขึ้นแล้ว!
เมื่อวันที่ 31 พ.ค. นายพิพิธ เอนกนิธิ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย
เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 25 กรกฎาคมที่ผ่านมา
ธนาคารพบว่ามีข้อมูลรายชื่อลูกค้าองค์กรของธนาคารประมาณ 3,000 ราย
ที่ใช้เว็บที่ให้บริการหนังสือค้ำประกัน อาจหลุดออกไปภายนอก
ซึ่งเมื่อธนาคารทราบเรื่องได้ดำเนินการปิดช่องโหว่ทันที
และได้เพิ่มระดับการเฝ้าระวังและป้องกันให้มากขึ้น
เพื่อไม่ให้เกิดข้อมูลรั่วไหลอีก
สำหรับข้อมูลที่อาจจะหลุดไปเป็นข้อมูลสาธารณะทั่วไปเฉพาะของลูกค้าที่ใช้บริการหนังสือค้ำประกันผ่านช่องทางเว็บเท่านั้น
อาทิ ชื่อบริษัท หมายเลขโทรศัพท์
ซึ่งไม่ได้เกี่ยวข้องกับข้อมูลสำคัญด้านธุรกรรมหรือการเงินของลูกค้า
จึงไม่น่าจะนำไปใช้ประโยชน์ในเชิงโจรกรรมได้
นายพิพิธ กล่าวอีกว่า
จากการตรวจสอบยังไม่พบว่าเกิดความเสียหายกับลูกค้ารายใด
จากนี้ธนาคารจะยังเฝ้าระวังความผิดปกติของบัญชีลูกค้าอย่างต่อเนื่อง
สำหรับสาเหตุเบื้องต้นน่าจะเกิดจากกลุ่มแฮกเกอร์ที่มีความพยายามที่จะเจาะเข้าระบบของหน่วยงานต่างๆ
มาตลอด สำหรับเหตุการณ์ครั้งนี้ ธนาคารฯ
ได้รายงานให้ธนาคารแห่งประเทศไทยได้รับทราบแล้ว ทั้งนี้
ธนาคารมีแผนที่จะแจ้งให้ลูกค้าธนาคารที่ได้รับผลกระทบทราบเป็นรายองค์กร
หากลูกค้าตรวจพบความผิดปกติของธุรกรรมที่เกี่ยวข้อง
ธนาคารพร้อมรับผิดชอบและให้ความช่วยเหลือ โดยลูกค้าสามารถติดต่อมายัง K-Biz
Contact Center 02-8888822 ตลอด 24 ชั่วโมง
ด้านนายปรีดี ดาวฉาย ประธานสมาคมธนาคารไทย กล่าวว่า
สมาคมธนาคารไทยให้ความสำคัญกับเรื่องการรักษาความปลอดภัยของข้อมูลลูกค้าและระบบสารสนเทศของธนาคารมาตลอด
โดยตั้งแต่ปี 2560 ที่ผ่านมา สมาคมได้มีการจัดตั้ง
ศูนย์ประสานงานความมั่นคงปลอดภัยสารสนเทศภาคการธนาคารหรือ TB CERT
(Thailand Banking Sector Computer Emergency Response Team)
ซึ่งเป็นความร่วมมือของธนาคารสมาชิกในการตอบสนองต่อเหตุการณ์ฉุกเฉินทางเทคโนโลยีสารสนเทศ
โดยจะมีการแลกเปลี่ยนขอ้มูล ข่าวสาร ความรู้
แนวปฏิบัติที่ดีระหว่างธนาคารสมาชิก
ทั้งนี้ ตามที่มีข่าวว่ามีข้อมูลของลูกค้าของบางธนาคารรั่วไหลออกไปภายนอก
สมาคมธนาคารไทยได้ติดตามกรณีนี้อย่างใกล้ชิด
และมีการประสานงานกับธนาคารสมาชิก โดยในเบื้องต้น
ได้มีการแลกเปลี่ยนข้อมูลของเหตการณ์นี้ในระหว่างธนาคารสมาชิก
และให้ธนาคารต่างๆ ทำการตรวจสอบและปรับปรุงระบบเพื่อป้องกันปัญหา
และในลำดับต่อไปจะร่วมมือกับธนาคารสมาชิกในการยกระดับการรักษาความปลอดภัยของข้อมูลและระบบสารสนเทศ
หรือที่เรียกว่าการยกระดับความปลอดภัยทางไซเบอร์
ตามนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทย เพื่อให้มั่นใจว่าระบบของธนาคารต่างๆ
มีความมั่นคงปลอดภัย รวมทั้งจะมีการให้ความรู้แก่ลูกค้าและประชาชน
ในการดูแลรักษาข้อมูลและการใช้อุปกรณ์ดิจิทัล หรือ Digital Literacy ด้วย
ขณะที่นายผยง ศรีวณิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า
จากการตรวจสอบระบบ IT เป็นประจำ ทำให้ธนาคารพบว่า
ในช่วงก่อนวันหยุดยาวต่อเนื่องปลายเดือนกรกฏาคมที่ผ่านมา
ข้อมูลเบื้องต้นของลูกค้าที่ส่วนใหญ่เป็นข้อมูลคำขอสินเชื่อพื้นฐานลูกค้ารายย่อยที่สมัครสินเชื่อผ่านช่องทางออนไลน์
ถูกแฮกด้วยเทคนิคชั้นสูงจากระบบของธนาคาร
ซึ่งผลจากการตรวจพบควบคู่กับมาตรการการเฝ้าระวังป้องกันข้อมูลลูกค้าอย่างทันท่วงที
ทำให้ธนาคารสามารถหยุดการรั่วไหลของข้อมูลได้ในวงจำกัด
และไม่มีความเสียหายทางการเงินแต่อย่างใด
จากการตรวจสอบพบว่า
ข้อมูลของลูกค้าที่ถูกแฮกส่วนใหญ่เป็นข้อมูลคำขอสินเชื่อลูกค้ารายย่อยที่สมัครสินเชื่อที่อยู่อาศัย
สมัครสินเชื่อกรุงไทย Supper Easy ผ่านทางช่องออนไลน์ รวมทั้งสิ้น 1.2
แสนราย โดยในจำนวนนี้เป็นนิติบุคคลประมาณ 3 พันราย
ซึ่งธนาคารขอยืนยันว่าไม่พบความเสียหายทางการเงินใดๆในบัญชีของลูกค้ากลุ่มดังกล่าว
ทั้งนี้ธนาคารจะติดต่อกับลูกค้ากลุ่มดังกล่าวโดยตรง
เพื่อแจ้งให้ทราบถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
พร้อมทั้งให้คำแนะนำในการป้องกันความเสี่ยง
ขณะเดียวกัน เพื่อป้องกันความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากเหตุการณ์ดังกล่าว
ธนาคารได้ร่วมมือกับบริษัทผู้เชี่ยวชาญด้าน Cyber Security & Digital
Forensics
ดำเนินการตรวจสอบและยกระดับการป้องกันการเข้าถึงข้อมูลลูกค้าทั้งหมดของธนาคารโดยทันที
เพื่อให้มั่นใจว่าข้อมูลของลูกค้าทุกกลุ่มมีความปลอดภัยมากที่สุด
ซึ่งธนาคารได้รายงานเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นต่อธปท.เรียบร้อยแล้ว
ยิ่งไปกว่านั้น ธนาคารและผู้เชี่ยวชาญในด้านต่างๆ
กำลังร่วมกันตรวจสอบเหตุการณ์เชิงลึกในครั้งนี้
นายผยง กล่าวต่อว่า ขอให้ลูกค้าของธนาคารมั่นใจว่า
ธนาคารมีกระบวนการติดตามและตรวจสอบในเชิงรุก
เพื่อดูแลข้อมูลของลูกค้าในระบบของธนาคารเป็นประจำอย่างต่อเนื่อง
ขณะเดียวกัน ยอมรับว่าความสามารถของแฮกเกอร์ที่สูงขึ้น
ถือเป็นความท้าทายที่ธนาคารจะต้องพัฒนาปรับปรุงระบบ Cyber Security
อย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่งในการทำงานในยุคดิจิตัล
ส่วนนายรณดล นุ่มนนท์ ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายกำกับสถาบันการเงิน
ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า
ในช่วงปลายสัปดาห์ที่ผ่านมาได้รับรายงานจากธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน)
และธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ว่า
มีข้อมูลที่ไม่เกี่ยวกับธุรกรรมการเงินของลูกค้าบางส่วนหลุดไปยังภายนอก
โดยกรณีของธนาคารกสิกรไทย
เป็นข้อมูลลูกค้านิติบุคคลที่เป็นข้อมูลสาธารณะซึ่งหาได้ทั่วไป
ส่วนของธนาคารกรุงไทย
ส่วนใหญ่เป็นข้อมูลคำขอสินเชื่อของลูกค้ารายย่อยและนิติบุคคลบางส่วน
ทั้งนี้ หลังจากธนาคารทั้งสองแห่งตรวจพบปัญหาก็ได้เร่งตรวจสอบทันที
ซึ่งพบว่ายังไม่มีลูกค้าที่ได้รับความเสียหาย
และข้อมูลที่หลุดออกไปไม่ใช่ข้อมูลธุรกรรมทางการเงิน
โดยธนาคารทั้งสองแห่งได้ดำเนินการปิดช่องโหว่ของระบบดังกล่าว
และได้ตรวจสอบระบบงานที่เกี่ยวข้อง
รวมทั้งจัดให้มีผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านมาประเมินทุกระบบงาน
เพื่อให้มั่นใจว่าการป้องกันครอบคลุมระบบงานและฐานข้อมูลทั้งหมด
อย่างไรก็ดี ธปท.
ได้สั่งการและกำชับให้ธนาคารทั้งสองแห่งยกระดับมาตรการป้องกันภัยทางไซเบอร์อย่างเข้มงวดยิ่งขึ้น
และดูแลไม่ให้ลูกค้าได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
รวมทั้งสื่อสารให้ลูกค้าที่เป็นเจ้าของข้อมูลได้รับทราบ ทั้งนี้ ธปท.
ได้กำชับให้ธนาคารทั้งสองแห่งเตรียมมาตรการเยียวยาลูกค้า
หากเกิดความเสียหาย
รวมทั้งได้แจ้งสถาบันการเงินทุกแห่งปิดช่องโหว่ดังกล่าวและเพิ่มความระมัดระวังเป็นพิเศษด้วย
เหตุการณ์กังกล่าวถือเป็นภัยทางไซเบอร์ที่เกิดขึ้นกับองค์กรและสถาบันการเงินทั่วโลก
ธปท. ตระหนักถึงความเสี่ยงนี้
จึงได้ทำงานร่วมกับผู้กำกับดูแลในภาคการเงินอย่างใกล้ชิด
และสั่งการให้สถาบันการเงินยกระดับการรับมือภัยไซเบอร์
ทั้งด้านการเพิ่มมาตรการป้องกันภัยให้รัดกุมเท่าทันกับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้น
และการเฝ้าระวังอย่างเข้มข้นด้วยการใช้เครื่องมือช่วยตรวจจับรายการผิดปกติ
โดยหากเกิดเหตุการณ์ภัยไซเบอร์ขึ้น
สถาบันการเงินจะต้องดำเนินการแก้ไขปัญหาอย่างรวดเร็ว
และดูแลรักษาผลประโยชน์ของลูกค้าไม่ให้เสียหาย
เพื่อให้ประชาชนเกิดความมั่นใจในการใช้บริการกับสถาบันการเงิน