Home »
Uncategories »
#ตะลึงตาเเตก ประโยชน์ของ "พริก" มีดีกว่าที่คิด รักษาโรคได้มากมาย มีผลวิจัยยืนยัน!!!
#ตะลึงตาเเตก ประโยชน์ของ "พริก" มีดีกว่าที่คิด รักษาโรคได้มากมาย มีผลวิจัยยืนยัน!!!

วันนี้เรามีเรื่องราวดีๆมาเอาใจคนที่ชอบทาน “เผ็ด” กัน
เชื่อเลยว่าถ้าอ่านแล้วจะต้องยิ้มกันอย่างแน่นอน ส่วนคนที่ไม่ชอบทาน “เผ็ด”
วันนี้เชื่อว่าถ้าคุณอ่านแล้วจะต้องหันมาทานเผ็ดอย่างแน่นอน!!!
เพราะความเผ็ดที่เรากำลังพูดถึงอยู่ในขณะนี้คือความเผ็ดของ “พริก”
เครื่องเทศที่ทุกบ้านต้องมี นอกจากพริกจะช่วยทำให้รสชาติอาหารดีขึ้นแล้ว
ยังมีประโยชน์ช่วยรักษาโรคได้มากมายด้วย

พริกมีความเผ็ดร้อนจนทำให้หลายคนจดจำได้ เป็นเพราะสารแคปไซซิน
(Capsaicin) นอกจากจะทำให้พริกมีรสชาติโดดเด่นและเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวแล้ว
แคปไซซินยังเป็นสารออกฤทธิ์หลักที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย
หลายคนเชื่อว่าสารแคปไซซินอาจมีส่วนช่วยรักษาหรือทำให้อาการต่าง ๆ
ดีขึ้นได้ เช่น บรรเทาอาการปวดหรือเกร็งของกล้ามเนื้อ อาการปวดข้อ
การติดเชื้อทางผิวหนัง แผลในกระเพาะอาหาร ลดระดับไขมันในเลือด
รวมถึงเชื่อว่าอาจช่วยป้องกันความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจ
จากการศึกษาถึงข้อพิสูจน์หรือนำหลักฐานทางการแพทย์นั้นว่ามีการยืนยันสรรพคุณมากน้อยเพียงใดซึ่ง
ประโยชน์ และความปลอดภัยของการรับประทาน "พริก"
มีบทบาทในการรักษาโรคเหล่านี้

ประโยชน์ของพริกที่อาจมีต่อสุขภาพ
1. รักษาอาการปวดข้อ
สารแคปไซซินจะช่วยกระตุ้นให้ร่างกายปล่อยสารที่เชื่อว่ามีส่วนช่วยบรรเทาอาการปวดระหว่างเส้นประสาทในกระดูกสันหลังกับอวัยวะต่าง
ๆ ของร่างกาย องค์การอาหารและยา (FDA)
ยังให้การรับรองว่าสารแคปไซซินซึ่งเป็นสารสกัดที่พบได้ในพริกมีประโยชน์บรรเทาอาการปวดข้อในกรณีใช้รูปแบบเฉพาะที่
(Topical Form)
2. รักษาอาการปวดเส้นประสาทชนิดเรื้อรัง
มีความเชื่อว่าสารแคปไซซินในพริกซึ่งเป็นสารให้ความเผ็ดร้อน
อาจมีส่วนช่วยระงับความเจ็บปวดของเส้นประสาทซึ่งจะส่งผลให้อาการต่าง ๆ
บรรเทาลง
3. รักษาโรคสะเก็ดเงิน
จากผลการทดลองได้กล่าวว่ายาที่มีส่วนผสมของสาร "แคปไซซิน"
ซึ่งเป็นสารออกฤทธิ์ที่พบได้ในพริกอาจมีประโยชน์ต่อการรักษาโรคสะเก็ดเงินโดยนำผู้ป่วยมีอาการโดยรวมดีขึ้นเมื่อเทียบกับกลุ่มที่ใช้ยาหลอก
และในช่วงแรกของการทดลองมีรายงานการเกิดผลข้างเคียงคือ รู้สึกแสบร้อน แดง
และคันที่บริเวณผิวหนัง แต่อาการดีขึ้นเมื่อใช้ยาอย่างต่อเนื่อง
4. รักษาโรคจมูกอักเสบชนิดไม่แพ้ (Non-Allergic
Rhinitis) แคปไซซินซึ่งเป็นสารให้ความเผ็ดในพริกอาจมีส่วนช่วยให้ผู้ป่วยโรคจมูกอักเสบชนิดไม่แพ้มีอาการดีขึ้นได้
โดยควบคุมการทำงานของตัวรับสารสื่อประสาทที่เกี่ยวข้องกับความรู้สึกต่าง
ๆ
5. รักษาแผลในกระเพาะอาหาร
เป็นสาเหตุมาจากการติดเชื้อ "แบคทีเรียเอชไพโลไร (Helicobacter Pylori)
"หรือ อาจเกิดจากปัจจัยอื่น ๆ เช่น
กรดในกระเพาะอาหารที่ผลิตออกมามากเกินไป
การรับประทานยาลดการอักเสบในกลุ่มเอ็นเสดเป็นประจำ พฤติกรรมการสูบบุหรี่
การดื่มแอลกอฮอล์ หรือความเครียด
อาจเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดแผลในกระเพาะอาหารได้เช่นกัน
ทั้งนี้มีคนจำนวนหนึ่งที่เชื่อว่าการรับประทานพริกหรืออาหารที่มีรสเผ็ดเป็นสาเหตุของแผลในกระเพาะอาหาร
ซึ่งหลักฐานและข้อพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาแสดงให้เห็นว่าพริกหรือสารแคปไซซินซึ่งเป็นสารให้ความเผ็ดของพริกไม่ได้เป็นสาเหตุให้เกิดแผลในกระเพาะอาหาร
แต่ช่วยยับยั้งการหลั่งกรด เพิ่มความเป็นด่าง กระตุ้นการหลั่งเมือก
อีกทั้งยังกระตุ้นการไหลเวียนโลหิต
ซึ่งล้วนแต่เป็นข้อดีที่ช่วยป้องกันและรักษาแผลในกระเพาะอาหาร
นอกจากนี้
ยังมีการศึกษาที่จะช่วยสนับสนุนประสิทธิภาพดังกล่าว โดยให้ผู้ที่มีสุขภาพดี
ผู้ป่วยที่มีแผลในกระเพาะอาหารและโรคที่เกี่ยวกับระบบทางเดินอาหารประเภทอื่น
และผู้ป่วยที่มีอาการเรื้อรัง
โดยใช้สารแคปไซซินเพียงลำพังหรือใช้ร่วมกับการใช้ยาชนิดอื่น ๆ
จากผลการทดลองอาจกล่าวได้ว่าสารแคปไซซินมีประโยชน์ในฐานะตัวป้องกันระบบทางเดินอาหารที่ใช้ได้กับผู้ที่มีสุขภาพดี
ผู้ป่วยที่มีแผลในกระเพาะอาหาร
หรือผู้ป่วยที่มีปัญหาสุขภาพที่ต้องรักษาด้วยยาในกลุ่มเอ็นเสด
แต่ยังมีข้อมูลน้อย จึงจำเป็นต้องศึกษาเพิ่มเติม

ความปลอดภัยในการรับประทานพริก
การรับประทานพริกค่อนข้างปลอดภัยหากรับประทานเป็นอาหารในปริมาณที่เหมาะสม
แต่ความเผ็ดของพริกอาจทำให้ระคายเคืองกระเพาะอาหาร เหงื่อออก หน้าแดง
หรือน้ำมูกไหลได้
การดื่มน้ำเปล่าอาจช่วยบรรเทาความเผ็ดได้ไม่ดีเท่าการดื่มนมหรือโยเกิร์ต
เพราะน้ำจะทำให้น้ำมันแคปไซซินซึ่งเป็นสาเหตุของความเผ็ดกระจายไปทั่วปาก
แต่นมจะมีโปรตีนเคอิซิน (Casein)
ซึ่งจะช่วยกำจัดน้ำมันแคปไซซินออกไปและทำให้ความเผ็ดนั้นน้อยลงได้
นอกจากนี้
การใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของสารแคปไซซินค่อนข้างปลอดภัยหากใช้ทาบริเวณผิวหนังของผู้ใหญ่
แต่อาจทำให้เกิดการระคายเคืองผิวหนัง รู้สึกแสบร้อน หรือคันได้เช่นกัน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบริเวณที่บอบบาง เช่น ผิวหนังที่แพ้ง่าย หรือดวงตา
และการใช้ยาที่มีส่วนผสมของสารสกัดจากพริกพ่นทางจมูกก็ค่อนข้างปลอดภัยเช่นเดียวกัน
ยังไม่พบการรายงานเกี่ยวกับผลข้างเคียงชนิดรุนแรงเกิดขึ้น
แต่อาจทำให้รู้สึกปวดจมูก แสบร้อน คัดจมูก น้ำมูกและน้ำตาไหลได้
ซึ่งผลข้างเคียงเหล่านี้มีแนวโน้มที่จะลดลงหากใช้ซ้ำหรือใช้ติดต่อกันเป็นเวลาตั้งแต่
5 วันขึ้นไป
ข้อควรระวังในการรับประทานพริกโดยเฉพาะบุคคลในกลุ่มดังต่อไปนี้
1. ผู้ที่กำลังตั้งครรภ์หรือผู้ที่อยู่ในช่วงให้นมบุตร
การใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของสารแคปไซซินค่อนข้างปลอดภัยหากใช้ทาที่บริเวณผิวหนัง
แต่ยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่าจะปลอดภัยหรือไม่หากรับประทานพริกในช่วงการตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร
2. เด็ก
การใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของสารแคปไซซินค่อนข้างไม่ปลอดภัยหากใช้กับเด็กที่มีอายุต่ำกว่า
2 ปี และยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่าจะปลอดภัยหรือไม่หากให้เด็กรับประทานพริก
3.ผู้ที่วางแผนเข้ารับการผ่าตัด
ควรหยุดรับประทานพริกก่อนการผ่าตัดอย่างน้อย 2 สัปดาห์เพราะอาจทำให้เลือดออกมากในระหว่างและหลังการผ่าตัด
4. ผู้ที่อยู่ในระหว่างการรับประทานยารักษาโรค
พวกยาต้านเกล็ดเลือด
เพราะอาจทำให้เกิดแผลฟกช้ำหรือมีเลือดออกได้ง่ายกว่าปกติ หรือยาทีโอฟิลลีน
(Theophylline) และยาในกลุ่มเอซีอี อินฮิบิเตอร์
ซึ่งเป็นยารักษาความดันโลหิตสูง เพราะอาจส่งผลต่อการดูดซึมยาของร่างกาย
อาจส่งผลต่อประสิทธิภาพการทำงานของยา และทำให้เสี่ยงต่อการผลข้างเคียงได้
นี่คือประโยชน์และข้อควร "ระวัง"ในการกิน "พริก"
ทั้งนี้เราควรกินในปริมาณที่เหมาะสมมิเช่นนั้นอาจทำให้เกิดผลเสียมากกว่าผลดีก็เป็นไรได้
ขอบคุณข้อมูลจาก:pobpad