โดย พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤๅษี วัดท่าซุง)
ผู้ถาม :- "การบริจาคโลงศพ ให้คนตายที่ไม่มีญาตินั้นมีบุญมาก อันนี้จริงไหมครับ..?"
หลวงพ่อ :- "ตามธรรมดาเราถ้าป่วย ญาติต้องรักษาสิ้นเงินสิ้นทองมากอยู่แล้ว ถ้าฐานะไม่ดี ถ้าตายไปแล้วแกเดือดร้อนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งโลงศพนี่หนักมาก ถ้าคนจนๆสักหน่อยนะ ก็ต้องไปซื้อไม้ยางมา แล้วมาต่อเอง ทีนี้สำคัญคนต่อโลง ถ้าไม่มีเหล้ากิน เขาต่อโลงไม่ได้ ถ้ากินเมาเกินไป ต่อโลงไม่ได้อีก นี่เป็นเรื่องจริงๆนะ เมาเกินไปก็งอแงๆทำท่าจะต่อไม่เสร็จ ทีนี้คนเขามีทุกข์จากการรักษาพยาบาล เพราะเงินมันหมดแล้ว ใช่ไหม… ต่อมาถ้าเกิดตายก็ต้องใช้เงินใหม่ อาจจะต้องขอยืมเขา เป็นหนี้เป็นสินเขา ถ้าเราให้อย่างนี้ สร้างความสุขให้แก่เขามาก มันเป็นปัจจัยของความสุข แต่ว่าเคยพบมาหลายรายแล้วนะ ถ้าเขาอุทิศโลงศพแล้วรวยทุกราย นี่เรื่องจริงๆ นี่พบมาจริงเลยนะ อันดับแรกเขาต่อโลงไว้ที่บ้าน ๔-๕ ลูก ต่อๆมาก็เพิ่มหลายลูกขึ้น แล้วก็มีคนร่วมหุ้นส่วน และฐานะเขาก็ดีขึ้นเรื่อยๆ นี่เคยเห็นมาแล้วนะ คือเอาผลปัจจุบัน เวลานั้นเขามีความทุกข์ยาก ญาติเขาตาย เจ้าภาพหนักใจมาก ไม่มีเงินก็ต้องกู้เขา สถานที่กู้ก็ยังไม่แน่จะไปกู้ได้ที่ไหน หนักใจไม่น้อยเลย"
ผู้ถาม :- "ถ้าชาติปัจจุบันมีผลเป็นอย่างนี้ แล้วถ้าชาติหน้าล่ะครับ…?"
หลวงพ่อ :- "ชาติหน้าไปก็มีโลงเยอะ สร้างบ้านด้วยโลงผี"
ผู้ถาม :- "โอ้โฮ..ไม่ไหวนะหลวงพ่อ"
หลวงพ่อ :- "ไหว…แน่ ทำฝากุฏิด้วยโลงผียังไหวเลย เมื่อสมัยบวชปีแรก ตามปกติฉันชอบไปนอนที่ศาลาปรกที่ป่าช้า มันไกล เงียบดี หลวงพ่อปานท่านขอโลงผีไว้ ๓๐ ลูกกว่า โลงไม้สักนะ เวลาที่เขาจะเผา เขาก็เอาโลงไม้ยางไปแลก เก็บโลงไม้สักไว้ เผื่อคนตายจะได้ใช้ทันทีทันใด
ทีนี้ศาลาปรกที่ไปพัก พอหน้าฝนมันก็สาด ก็ให้พระช่วยขนโลงมาทำฝา เหลือจากนั้นก็ทำเตียงนอน ทำโต๊ะเขียนหนังสือ ทำเก้าอี้ เอาไปวางข้างๆ มีวันหนึ่งจะมีงานวัด พวกแม่ค้าเค้าก็ไปจองที่ขายของ เราก็จุดตะเกียงแดงที่ศาลาปรก พอแกเห็นว่าเป็นพระ แกก็ไปกัน ๒๐ คนได้ พอไปถึงเขาก็ไปยืนคุย มีผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย ยืนคุยไปคุยมา
ยายคนหนึ่งแกก็ถาม "นี่อะไร" ชี้ไปที่ที่นั่ง บอก "โลงผี"
ถาม "นี่อะไร" ชี้ไปที่โต๊ะ บอก "โลงผี"
"นี่อะไร" ชี้ไปที่เตียงนอน บอก "โลงผี"
พอ ๓ ผีเท่านั้นแหละ วิ่งอ้าวเลย แกวิ่งตั้งตัวไม่ติดเลย ก็นึกสงสัย แกวิ่งทำไมนะ ไอ้เราก็คน แกวิ่งไปถึงบริเวณกุฏิพระ แกก็ถามพระว่า "ที่ป่าช้าน่ะ พระคนหรือพระผี…?" เรากลายเป็นผีไปเสียนี่ พอรุ่งขึ้นเช้าไปบิณฑบาตกลับมา ยายพวกนั้นเห็นหน้า "ฮั่นแน่..เมื่อคืนนึกว่าผี" แหม..ก็คุยกันตั้งนานคุยได้ พอเห็นโลงผีวิ่งเลย แต่ความจริงโลงผีมีไว้ดีนะ ถ้าบังเอิญขโมยกลัวผี ไม่ย่องเข้าไปลักหรอก ถ้าไปเจอขโมยพวกสัปเหร่อล่ะ..เสร็จนะ"
ผู้ถาม :- "บางคนเขาก็ไม่กลัวครับ เขาเอาโลงไปไว้ที่บ้าน เป็นโลงศพพ่อโลงศพแม่ อย่างนี้จะเป็นอะไรไหมครับ…?"
หลวงพ่อ :- "จะเป็นไรไป ดี..ก็ไม่เห็นเสียหายอะไรนี่"
ผู้ถาม :- "เด็กเล็กมันกลัวครับ"
หลวงพ่อ :- "เด็กเล็กมันกลัวก็ช่างมัน เด็กใหญ่ไม่กลัวก็แล้วกัน ถ้าเขากลัวจริงๆ เขาคงไม่เอาไว้ เอาไว้ก็ดีอุ่นดีนะ"
ผู้ถาม :- ?..?..?
หลวงพ่อ :- "อุ่นใจดี ถ้าเขาเอาไว้อย่างนั้น แสดงว่าความกตัญญูกตเวทีเขามีมาก และโลงนั่นใส่ศพพ่อและแม่ใช่ไหม เผาแล้วยังเอาโลงเก็บไว้ พอเห็นโลงทีไรก็นึกถึงพ่อและแม่ จิตกตัญญูมันก็ปรากฏ คนที่มีความกตัญญูกตเวที พระพุทธเจ้าทรงสรรเสริญมาก"
ผู้ถาม :- "ถ้าเป็นผม ก็ใช้วิธีทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้ครับ ก็มีอาม่าคนหนึ่งแกตายไป ตอนอยู่ก็ไม่ได้สร้างกุศล พอแกตายไปแล้ว ก็นิมิตไปว่าเห็นแกลำบากมาก ก็เลยทำสังฆทานถวายพระ อยากทราบว่าถวายสังฆทานนี้ผลจะได้หรือเปล่า…หรือจะช่วยอย่างไร แกถึงไม่ลำบาก"
หลวงพ่อ :- "แกมาแสดงตัวให้ปรากฏใช่ไหม…?"
ผู้ถาม :- "ครับ"
หลวงพ่อ :- "ถ้าแกแสดงตัวปรากฎ ทำบุญแล้วอุทิศส่วนกุศล ออกชื่อแกนะได้รับแน่ ถ้าเขาแสดงตัวปรากฎได้ แสดงว่าเขารับได้ ถ้าหากว่าเขาแสดงตัวให้ปรากฏไม่ได้ ก็ยังเป็นปัญหาอยู่นะ อาจจะได้ก็ได้ ไม่ได้ก็ได้ แต่ถ้าเขาแสดงตัวเขามีโอกาสรับ มั่นใจ แต่อย่าลืมออกชื่อเขานะ…."
อานิสงส์ ของการบริจาคโลงศพคือใจผู้บริจาคเป็นสุข สุขจากการได้ทำบุญ ได้ทำความดี คนตายมีโลงนอน เชื่อกันว่าเป็นการต่ออายุไข สะเดาะเคราห์ ผ่อนหนักเป็นเบาก็สุดแล้วแต่ความเชื่อ ศรัทธาของแต่ละบุคคล การทำบุญโลงศพ เป็นการช่วยเหลือศพไร้ญาติ เป็นสถานที่เชื่อมต่อกับสิ่งที่มองไม่เห็น เรียกว่า "แรงกรรม" และเป็นการทำบุญเสริมชะตาชีวิตตัวเอง ควรทำบุญนี้ให้ได้อย่างน้อยปีละครั้ง
1.ใช้มือสัมผัสใบอนุโมทนาแล้วตั้งจิตอธิษฐานว่า "ข้าพเจ้า ชื่อ-สกุล ขอน้อมถวายการทำบุญโลงศพในครั้งนี้ แด่ศพไร้ญาติหรือวิญญาณที่ยากไร้ ขอให้ท่านได้รับอานิสงส์ผลบุญที่ข้าพเจ้าได้กระทำไปแล้วนี้ ขอให้ท่านได้ไปยังภพภูมิที่ดีด้วยเทอญฯ (และตั้งจิตอธิษฐานอื่นๆ)
2.สักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ตามที่แต่ละสถานที่กำหนด และควรไหว้ฟ้าดินก่อน ปักธูปตามจำนวนที่เขากำหนดไว้ โดยมากจะเขียนบอก ควรไหว้ให้ครบทุกองค์
3.เผาใบอนุโมทนานั้นในที่ที่จัดไว้
4.จากความเชื่อว่ามนุษย์ผู้นั้นที่ยังคงบริโภคเนื้อสัตว์อยู่ ผลบุญนี้อาจจะยังไม่ถึง จึงนิยมเคาะกลอง และระฆัง เพื่อให้ได้ยินไปที่สวรรค์
ถ้าเป็นกลางวัน เคาะกลองก่อน เคาะ 5 ครั้ง และตามด้วยระฆัง 5 ครั้ง
ถ้าเป็นกลางคืน เคาะระฆังก่อน เคาะ 5 ครั้ง และตามด้วยกลอง 5 ครั้ง
5.เติมน้ำมันตะเกียงเพื่อเพิ่มแสงสว่างให้กับชีวิต
6.กรวดน้ำอุทิศผลบุญกุศลให้ญาติพี่น้อง เจ้ากรรมนายเวร
มีผู้รู้ได้วิจารณ์เกี่ยวกับอานิสงส์ของการบริจาคโลงศพด้วยความเชื่อในแบบต่าง ๆ ไว้ดังนี้
– บริจาคโลงศพเพื่อช่วยเหลือผู้ตายที่ขัดสนยากไร้ หรือศพไร้ญาติ อย่างนี้เป็นบุญที่ทำด้วยความสงสาร และปรารถนาจะช่วยเหลือสงเคราะห์เพื่อนมนุษย์ด้วยกัน มีธรรมะ คือ ความเมตตากรุณาเป็นปัจจัยให้บริจาคทาน ถือเป็นการทำบุญด้วยใจที่บริสุทธิ์
– บริจาคโลงศพ โดยการนอนบนฝาโลง ทอดผ้าบังสุกุล และนิมนต์พระมาสวดชักผ้าบังสุกุล ด้วยความเชื่อและคิดหวังให้เป็นการสะเดาะเคราะห์ ปัดเป่าสิ่งชั่วร้ายให้ออกจากร่างกาย และต่อชะตาสืบอายุให้มีโชคมีชัย เจริญก้าวหน้าในชีวิต ความเห็นความเข้าใจในพิธีกรรมเพียงเท่านี้ ยังไม่เพียงพอที่จะให้เกิดความสำเร็จความสมหวังได้ เพราะการทำบุญให้ทานด้วยความกลัว ความโลภนั้น มีอานิสงส์น้อย มีอานุภาพน้อย เปรียบเสมือนน้ำน้อยย่อมแพ้ไฟ
– บริจาคโลงศพ โดยการนอนบนฝาโลง ทอดผ้าบังสุกุล และนิมนต์พระมาสวดชักผ้าบังสุกุล ด้วยความเชื่อและคิดหวังให้จะเป็นการสะเดาะเคราะห์ ปัดเป่าสิ่งชั่วร้ายให้ออกจากร่างกาย และต่อชะตาสืบอายุให้มีโชคมีชัย เจริญก้าวหน้าในชีวิต แล้วได้ฟังพระท่านให้ธรรมะเพิ่มเติม แล้วเกิดสติปัญญา นำไปเป็นเป็นข้อคิด เป็นคติเตือนใจว่า ชีวิตคนเราทั้งหลายก็เท่านี้ เกิดมามีความตายเป็นที่สุด และก็ต้องมานอนอยู่ในโลงแบบนี้ เอาอะไรติดตัวไปไม่ได้เลยแม้แต่ร่างกายของตนที่มีแต่จะผุพังเน่าเปื่อย ความทุกข์ยากลำบากที่เกิดขึ้นและอยากจะปัดเป่าให้หายไป ก็เกิดขึ้นเพราะบาปกรรมชั่วทั้งหลายที่เราทำไปเพราะความประมาทและขาดซึ่งสติปัญญานั่นเอง ดังนั้น ต่อไปจะต้องไม่ประมาท อย่างนี้ เรียกว่า ทำบุญเสริมดวงให้แข็ง คือ ได้สติปัญญา และสติปัญญานี้เองที่ถือเป็นยอดบุญในหมวดธรรมะที่เป็นเหตุปัจจัยให้เกิดความสุขความเจริญทั้งในชาตินี้และชาติหน้า
จึงกล่าวได้ว่า การทำบุญนั้น ไม่ว่าจะเป็นด้วยวิธีการใดก็ตาม อานิสงส์หรือผลบุญที่ได้รับจะมากหรือน้อย ขึ้นอยู่กับเจตนาของผู้ทำบุญเป็นหลัก การทำบุญ เพราะความกลัว ความโลภ และหวังให้เกิดประโยชน์แก่เฉพาะตัวเอง จะได้บุญน้อยกว่าการทำบุญด้วยจิตที่สะอาดบริสุทธิ์ ด้วยหวังเพียงให้ผู้อื่นเป็นสุข เช่นเดียวกับการบริจาคโลงศพนี้ หากเราลองคิดว่า ศพผู้ยากไร้หรือศพไร้ญาติเหล่านั้น คือ คนใกล้ชิดของเรา หรือกระทั่งเป็นตัวเราเอง การตายอย่างไร้ญาติ อย่างคนอนาถา ถือเป็นเรื่องน่าเวทนานัก หากมีผู้ใดมีจิตกรุณา ช่วยสงเคราะห์ผ้าห่อศพไม่ให้เป็นที่อุจาดตา อุทิศโลงศพให้เราได้อาศัย ไม่ให้ต้องนอนอยู่กลางแดดฝนเป็นอาหารของหนอนหรือแร้งกา ก็ถือเป็นพระคุณแก่วิญญาณของเรายิ่งนัก และเราก็ย่อมจะตอบแทนด้วยการอวยพรให้ผู้มีพระคุณผู้นั้นมีแต่ความสุขความเจริญ เมื่อคิดได้เช่นนี้เราก็จะมีจิตที่ยินดี เกิดเป็นความรู้สึกสุขใจ สบายใจ และความสุขใจนี่เอง คืออานิสงส์ผลบุญที่เราจะได้ตอบแทนมาโดยไม่ต้องคาดหวัง และถือเป็นบุญอย่างแท้จริง
ขอขอบคุณเนื้อหาจาก : พระอธิการ นพดล กันตสีโล วัดหนองรั้ว
ผู้ถาม :- "การบริจาคโลงศพ ให้คนตายที่ไม่มีญาตินั้นมีบุญมาก อันนี้จริงไหมครับ..?"
หลวงพ่อ :- "ตามธรรมดาเราถ้าป่วย ญาติต้องรักษาสิ้นเงินสิ้นทองมากอยู่แล้ว ถ้าฐานะไม่ดี ถ้าตายไปแล้วแกเดือดร้อนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งโลงศพนี่หนักมาก ถ้าคนจนๆสักหน่อยนะ ก็ต้องไปซื้อไม้ยางมา แล้วมาต่อเอง ทีนี้สำคัญคนต่อโลง ถ้าไม่มีเหล้ากิน เขาต่อโลงไม่ได้ ถ้ากินเมาเกินไป ต่อโลงไม่ได้อีก นี่เป็นเรื่องจริงๆนะ เมาเกินไปก็งอแงๆทำท่าจะต่อไม่เสร็จ ทีนี้คนเขามีทุกข์จากการรักษาพยาบาล เพราะเงินมันหมดแล้ว ใช่ไหม… ต่อมาถ้าเกิดตายก็ต้องใช้เงินใหม่ อาจจะต้องขอยืมเขา เป็นหนี้เป็นสินเขา ถ้าเราให้อย่างนี้ สร้างความสุขให้แก่เขามาก มันเป็นปัจจัยของความสุข แต่ว่าเคยพบมาหลายรายแล้วนะ ถ้าเขาอุทิศโลงศพแล้วรวยทุกราย นี่เรื่องจริงๆ นี่พบมาจริงเลยนะ อันดับแรกเขาต่อโลงไว้ที่บ้าน ๔-๕ ลูก ต่อๆมาก็เพิ่มหลายลูกขึ้น แล้วก็มีคนร่วมหุ้นส่วน และฐานะเขาก็ดีขึ้นเรื่อยๆ นี่เคยเห็นมาแล้วนะ คือเอาผลปัจจุบัน เวลานั้นเขามีความทุกข์ยาก ญาติเขาตาย เจ้าภาพหนักใจมาก ไม่มีเงินก็ต้องกู้เขา สถานที่กู้ก็ยังไม่แน่จะไปกู้ได้ที่ไหน หนักใจไม่น้อยเลย"
ผู้ถาม :- "ถ้าชาติปัจจุบันมีผลเป็นอย่างนี้ แล้วถ้าชาติหน้าล่ะครับ…?"
หลวงพ่อ :- "ชาติหน้าไปก็มีโลงเยอะ สร้างบ้านด้วยโลงผี"
ผู้ถาม :- "โอ้โฮ..ไม่ไหวนะหลวงพ่อ"
หลวงพ่อ :- "ไหว…แน่ ทำฝากุฏิด้วยโลงผียังไหวเลย เมื่อสมัยบวชปีแรก ตามปกติฉันชอบไปนอนที่ศาลาปรกที่ป่าช้า มันไกล เงียบดี หลวงพ่อปานท่านขอโลงผีไว้ ๓๐ ลูกกว่า โลงไม้สักนะ เวลาที่เขาจะเผา เขาก็เอาโลงไม้ยางไปแลก เก็บโลงไม้สักไว้ เผื่อคนตายจะได้ใช้ทันทีทันใด
ทีนี้ศาลาปรกที่ไปพัก พอหน้าฝนมันก็สาด ก็ให้พระช่วยขนโลงมาทำฝา เหลือจากนั้นก็ทำเตียงนอน ทำโต๊ะเขียนหนังสือ ทำเก้าอี้ เอาไปวางข้างๆ มีวันหนึ่งจะมีงานวัด พวกแม่ค้าเค้าก็ไปจองที่ขายของ เราก็จุดตะเกียงแดงที่ศาลาปรก พอแกเห็นว่าเป็นพระ แกก็ไปกัน ๒๐ คนได้ พอไปถึงเขาก็ไปยืนคุย มีผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย ยืนคุยไปคุยมา
ยายคนหนึ่งแกก็ถาม "นี่อะไร" ชี้ไปที่ที่นั่ง บอก "โลงผี"
ถาม "นี่อะไร" ชี้ไปที่โต๊ะ บอก "โลงผี"
"นี่อะไร" ชี้ไปที่เตียงนอน บอก "โลงผี"
พอ ๓ ผีเท่านั้นแหละ วิ่งอ้าวเลย แกวิ่งตั้งตัวไม่ติดเลย ก็นึกสงสัย แกวิ่งทำไมนะ ไอ้เราก็คน แกวิ่งไปถึงบริเวณกุฏิพระ แกก็ถามพระว่า "ที่ป่าช้าน่ะ พระคนหรือพระผี…?" เรากลายเป็นผีไปเสียนี่ พอรุ่งขึ้นเช้าไปบิณฑบาตกลับมา ยายพวกนั้นเห็นหน้า "ฮั่นแน่..เมื่อคืนนึกว่าผี" แหม..ก็คุยกันตั้งนานคุยได้ พอเห็นโลงผีวิ่งเลย แต่ความจริงโลงผีมีไว้ดีนะ ถ้าบังเอิญขโมยกลัวผี ไม่ย่องเข้าไปลักหรอก ถ้าไปเจอขโมยพวกสัปเหร่อล่ะ..เสร็จนะ"
ผู้ถาม :- "บางคนเขาก็ไม่กลัวครับ เขาเอาโลงไปไว้ที่บ้าน เป็นโลงศพพ่อโลงศพแม่ อย่างนี้จะเป็นอะไรไหมครับ…?"
หลวงพ่อ :- "จะเป็นไรไป ดี..ก็ไม่เห็นเสียหายอะไรนี่"
ผู้ถาม :- "เด็กเล็กมันกลัวครับ"
หลวงพ่อ :- "เด็กเล็กมันกลัวก็ช่างมัน เด็กใหญ่ไม่กลัวก็แล้วกัน ถ้าเขากลัวจริงๆ เขาคงไม่เอาไว้ เอาไว้ก็ดีอุ่นดีนะ"
ผู้ถาม :- ?..?..?
หลวงพ่อ :- "อุ่นใจดี ถ้าเขาเอาไว้อย่างนั้น แสดงว่าความกตัญญูกตเวทีเขามีมาก และโลงนั่นใส่ศพพ่อและแม่ใช่ไหม เผาแล้วยังเอาโลงเก็บไว้ พอเห็นโลงทีไรก็นึกถึงพ่อและแม่ จิตกตัญญูมันก็ปรากฏ คนที่มีความกตัญญูกตเวที พระพุทธเจ้าทรงสรรเสริญมาก"
ผู้ถาม :- "ถ้าเป็นผม ก็ใช้วิธีทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้ครับ ก็มีอาม่าคนหนึ่งแกตายไป ตอนอยู่ก็ไม่ได้สร้างกุศล พอแกตายไปแล้ว ก็นิมิตไปว่าเห็นแกลำบากมาก ก็เลยทำสังฆทานถวายพระ อยากทราบว่าถวายสังฆทานนี้ผลจะได้หรือเปล่า…หรือจะช่วยอย่างไร แกถึงไม่ลำบาก"
หลวงพ่อ :- "แกมาแสดงตัวให้ปรากฏใช่ไหม…?"
ผู้ถาม :- "ครับ"
หลวงพ่อ :- "ถ้าแกแสดงตัวปรากฎ ทำบุญแล้วอุทิศส่วนกุศล ออกชื่อแกนะได้รับแน่ ถ้าเขาแสดงตัวปรากฎได้ แสดงว่าเขารับได้ ถ้าหากว่าเขาแสดงตัวให้ปรากฏไม่ได้ ก็ยังเป็นปัญหาอยู่นะ อาจจะได้ก็ได้ ไม่ได้ก็ได้ แต่ถ้าเขาแสดงตัวเขามีโอกาสรับ มั่นใจ แต่อย่าลืมออกชื่อเขานะ…."
อานิสงส์ ของการบริจาคโลงศพคือใจผู้บริจาคเป็นสุข สุขจากการได้ทำบุญ ได้ทำความดี คนตายมีโลงนอน เชื่อกันว่าเป็นการต่ออายุไข สะเดาะเคราห์ ผ่อนหนักเป็นเบาก็สุดแล้วแต่ความเชื่อ ศรัทธาของแต่ละบุคคล การทำบุญโลงศพ เป็นการช่วยเหลือศพไร้ญาติ เป็นสถานที่เชื่อมต่อกับสิ่งที่มองไม่เห็น เรียกว่า "แรงกรรม" และเป็นการทำบุญเสริมชะตาชีวิตตัวเอง ควรทำบุญนี้ให้ได้อย่างน้อยปีละครั้ง
1.ใช้มือสัมผัสใบอนุโมทนาแล้วตั้งจิตอธิษฐานว่า "ข้าพเจ้า ชื่อ-สกุล ขอน้อมถวายการทำบุญโลงศพในครั้งนี้ แด่ศพไร้ญาติหรือวิญญาณที่ยากไร้ ขอให้ท่านได้รับอานิสงส์ผลบุญที่ข้าพเจ้าได้กระทำไปแล้วนี้ ขอให้ท่านได้ไปยังภพภูมิที่ดีด้วยเทอญฯ (และตั้งจิตอธิษฐานอื่นๆ)
2.สักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ตามที่แต่ละสถานที่กำหนด และควรไหว้ฟ้าดินก่อน ปักธูปตามจำนวนที่เขากำหนดไว้ โดยมากจะเขียนบอก ควรไหว้ให้ครบทุกองค์
3.เผาใบอนุโมทนานั้นในที่ที่จัดไว้
4.จากความเชื่อว่ามนุษย์ผู้นั้นที่ยังคงบริโภคเนื้อสัตว์อยู่ ผลบุญนี้อาจจะยังไม่ถึง จึงนิยมเคาะกลอง และระฆัง เพื่อให้ได้ยินไปที่สวรรค์
ถ้าเป็นกลางวัน เคาะกลองก่อน เคาะ 5 ครั้ง และตามด้วยระฆัง 5 ครั้ง
ถ้าเป็นกลางคืน เคาะระฆังก่อน เคาะ 5 ครั้ง และตามด้วยกลอง 5 ครั้ง
5.เติมน้ำมันตะเกียงเพื่อเพิ่มแสงสว่างให้กับชีวิต
6.กรวดน้ำอุทิศผลบุญกุศลให้ญาติพี่น้อง เจ้ากรรมนายเวร
มีผู้รู้ได้วิจารณ์เกี่ยวกับอานิสงส์ของการบริจาคโลงศพด้วยความเชื่อในแบบต่าง ๆ ไว้ดังนี้
– บริจาคโลงศพเพื่อช่วยเหลือผู้ตายที่ขัดสนยากไร้ หรือศพไร้ญาติ อย่างนี้เป็นบุญที่ทำด้วยความสงสาร และปรารถนาจะช่วยเหลือสงเคราะห์เพื่อนมนุษย์ด้วยกัน มีธรรมะ คือ ความเมตตากรุณาเป็นปัจจัยให้บริจาคทาน ถือเป็นการทำบุญด้วยใจที่บริสุทธิ์
– บริจาคโลงศพ โดยการนอนบนฝาโลง ทอดผ้าบังสุกุล และนิมนต์พระมาสวดชักผ้าบังสุกุล ด้วยความเชื่อและคิดหวังให้เป็นการสะเดาะเคราะห์ ปัดเป่าสิ่งชั่วร้ายให้ออกจากร่างกาย และต่อชะตาสืบอายุให้มีโชคมีชัย เจริญก้าวหน้าในชีวิต ความเห็นความเข้าใจในพิธีกรรมเพียงเท่านี้ ยังไม่เพียงพอที่จะให้เกิดความสำเร็จความสมหวังได้ เพราะการทำบุญให้ทานด้วยความกลัว ความโลภนั้น มีอานิสงส์น้อย มีอานุภาพน้อย เปรียบเสมือนน้ำน้อยย่อมแพ้ไฟ
– บริจาคโลงศพ โดยการนอนบนฝาโลง ทอดผ้าบังสุกุล และนิมนต์พระมาสวดชักผ้าบังสุกุล ด้วยความเชื่อและคิดหวังให้จะเป็นการสะเดาะเคราะห์ ปัดเป่าสิ่งชั่วร้ายให้ออกจากร่างกาย และต่อชะตาสืบอายุให้มีโชคมีชัย เจริญก้าวหน้าในชีวิต แล้วได้ฟังพระท่านให้ธรรมะเพิ่มเติม แล้วเกิดสติปัญญา นำไปเป็นเป็นข้อคิด เป็นคติเตือนใจว่า ชีวิตคนเราทั้งหลายก็เท่านี้ เกิดมามีความตายเป็นที่สุด และก็ต้องมานอนอยู่ในโลงแบบนี้ เอาอะไรติดตัวไปไม่ได้เลยแม้แต่ร่างกายของตนที่มีแต่จะผุพังเน่าเปื่อย ความทุกข์ยากลำบากที่เกิดขึ้นและอยากจะปัดเป่าให้หายไป ก็เกิดขึ้นเพราะบาปกรรมชั่วทั้งหลายที่เราทำไปเพราะความประมาทและขาดซึ่งสติปัญญานั่นเอง ดังนั้น ต่อไปจะต้องไม่ประมาท อย่างนี้ เรียกว่า ทำบุญเสริมดวงให้แข็ง คือ ได้สติปัญญา และสติปัญญานี้เองที่ถือเป็นยอดบุญในหมวดธรรมะที่เป็นเหตุปัจจัยให้เกิดความสุขความเจริญทั้งในชาตินี้และชาติหน้า
จึงกล่าวได้ว่า การทำบุญนั้น ไม่ว่าจะเป็นด้วยวิธีการใดก็ตาม อานิสงส์หรือผลบุญที่ได้รับจะมากหรือน้อย ขึ้นอยู่กับเจตนาของผู้ทำบุญเป็นหลัก การทำบุญ เพราะความกลัว ความโลภ และหวังให้เกิดประโยชน์แก่เฉพาะตัวเอง จะได้บุญน้อยกว่าการทำบุญด้วยจิตที่สะอาดบริสุทธิ์ ด้วยหวังเพียงให้ผู้อื่นเป็นสุข เช่นเดียวกับการบริจาคโลงศพนี้ หากเราลองคิดว่า ศพผู้ยากไร้หรือศพไร้ญาติเหล่านั้น คือ คนใกล้ชิดของเรา หรือกระทั่งเป็นตัวเราเอง การตายอย่างไร้ญาติ อย่างคนอนาถา ถือเป็นเรื่องน่าเวทนานัก หากมีผู้ใดมีจิตกรุณา ช่วยสงเคราะห์ผ้าห่อศพไม่ให้เป็นที่อุจาดตา อุทิศโลงศพให้เราได้อาศัย ไม่ให้ต้องนอนอยู่กลางแดดฝนเป็นอาหารของหนอนหรือแร้งกา ก็ถือเป็นพระคุณแก่วิญญาณของเรายิ่งนัก และเราก็ย่อมจะตอบแทนด้วยการอวยพรให้ผู้มีพระคุณผู้นั้นมีแต่ความสุขความเจริญ เมื่อคิดได้เช่นนี้เราก็จะมีจิตที่ยินดี เกิดเป็นความรู้สึกสุขใจ สบายใจ และความสุขใจนี่เอง คืออานิสงส์ผลบุญที่เราจะได้ตอบแทนมาโดยไม่ต้องคาดหวัง และถือเป็นบุญอย่างแท้จริง
ขอขอบคุณเนื้อหาจาก : พระอธิการ นพดล กันตสีโล วัดหนองรั้ว