“บริจาคอวัยวะ” กับ “บริจาคร่างกาย” ต่างกันอย่างไร บริจาคแล้วได้อะไร?

คุณเคยสงสัยไหมว่า “บริจาคอวัยวะ” กับ “บริจาคร่างกาย” ต่างกันอย่างไร บริจาคแล้วได้อะไร?

สำหรับใครที่มีสกิลในการ “ละสังขาร” ขั้นเทพแล้ว หลายคนได้บริจาคร่างกายเป็นอาจารย์ใหญ่ ซึ่งถือเป็นการทำประโยชน์ให้ผู้อื่นอย่างมาก นอกจากจะมีการบริจาคร่างกายแล้ว ยังมีการบริจาคอวัยวะด้วย คำถามคือ มันต่างกันยังไง? วันนี้เราจะมาไขข้อข้องใจกัน

บริจาคอวัยวะกับบริจาคร่างกาย ต่างกันอย่างไร

การบริจาคอวัยวะ คือ การบริจาคแค่อวัยวะภายในของผู้เสียชีวิตที่ใช้ประโยชน์ได้ เช่น หัวใจ ปอด ไต ตับ อื่นๆ ทั้งนี้ก็เพื่อนำไปช่วยเหลือผู้ป่วยที่อวัยวะสำคัญเสื่อมสภาพ เมื่อหมอปลูกถ่ายอวัยวะเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็จะนำร่างผู้เสียชีวิตส่งกลับคืนให้กับทางครอบครัว เพื่อนำไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อไป

การบริจาคร่างกาย คือ การบริจาคทั้งร่างกายหลังจากที่เราเสียชีวิตไปแล้ว จุดประสงค์ก็เพื่อ มอบร่างของเราให้นักศึกษาแพทย์ได้ทำการศึกษา พูดง่ายๆ คือ การเป็น “อาจารย์ใหญ่” นั่นเอง โดยผู้ที่จะเป็นอาจารย์ใหญ่ได้นั้น ร่างกายจะต้องมีอวัยวะครบถ้วน ยกเว้นดวงตา จึงจะสามารถบริจาคร่างกายได้

โดยสมาชิกผู้ใช้ Facebook ชื่อคุณ Palaloy Ploy ให้ข้อมูลที่อธิบายไว้ว่า “การบริจาคแบ่งออกเป็น 3 อย่าง คือ 1.ตา 2. อวัยวะ 3. ร่างกาย .. เราสามารถบริจาคได้ทั้ง 3 อย่าง แต่จะถูกเอาไปใช้ในแบบไหนขึ้นอยู่กับสาเหตุการเสียชีวิต

– บริจาคอวัยวะ = สมองตาย

– บริจาคร่างกาย = แก่ตาย

บริจาคแล้วได้อะไร ?

– ได้ให้ความรู้แก่ผู้อื่น ซึ่งก็คือ นักศึกษาแพทย์ เพื่อที่พวกเขาจะได้ศึกษาร่างกายที่ไม่มีประโยชน์แล้วของผู้บริจาค ไปทำการศึกษาเพื่อพัฒนาการแพทย์ต่อไป

– ได้แบ่งปัน อวัยวะที่เราบริจาค ถือเป็นการได้แบ่งปันและต่อลมหายใจให้กับเพื่อนร่วมโลก

– ได้ความสบายใจ ไม่ว่าจะเป็นการบริจาคอวัยวะ หรือบริจาคร่างกาย ถ้าใครตัดสินใจบริจาคแล้ว เชื่อว่าผลของการอุทิศนี้ก็ต้องนำมาซึ่งความสบายใจด้วยกันทั้งนั้น

– ได้บุญ ตามความเชื่อของศาสนาพุทธเรา การให้ ไม่ว่าจะให้มาก ให้น้อย ก็ถือเป็นกุศลด้วยกันทั้งนั้น

บริจาคที่ไหน ?

มีโรงพยาบาล หรือมหาวิทยาลัย ที่รับบริจาคอวัยวะหรือร่างกาย เยอะอยู่เหมือนกัน สถานที่ต่อไปนี้ Campus-Star จะขอยกตัวอย่างนะคะ ถ้าใครอยากบริจาคหรือสะดวกที่ไหนก็ไปกันได้จ้า อย่าลืมสอบถามรายละเอียดสถานที่รับบริจาคอีกครั้ง

โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย : chulalongkornhospital.go.th

ภาควิชากายวิภาคศาสตร์ ม.มหิดล : sc.mahidol.ac.th

คณะแพทยศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ : med.tu.ac.th

โรงพยาบาลศรีนครินทร์ ม.ขอนแก่น : srinagarind.md.kku.ac.th

คณะวิทยาศาสตร์การแพทย์ ม.นเรศวร : medsci.nu.ac.th

คณะแพทยศาสตร์ ม.เชียงใหม่ : med.cmu.ac.th

คณะวิทยาศาสตร์ ม.สงขลานครินทร์ : sci.psu.ac.th

ศูนย์รับบริจาคอวัยวะ สภากาชาดไทย : organdonate.in.th

การบริจาคร่างกาย อวัยวะ ดวงตา มีขั้นตอนอย่างไรบ้าง? รพ.จุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย

– เมื่อสิ้นสุดปีการศึกษา ภาควิชากายวิภาคศาสตร์ จะร่วมกับนักศึกษาแพทย์ปี 2 ทุกคน เป็นเจ้าภาพจัดงานพระราชทางเพลิงศพ ให้กับอาจารย์ใหญ่ทุกๆ ท่าน

– การบริจาคแบ่งออกเป็น 3 อย่าง คือ 1.ตา 2. อวัยวะ 3. ร่างกาย .. เราสามารถบริจาคได้ทั้ง 3 อย่าง แต่จะถูกเอาไปใช้ในแบบไหนขึ้นอยู่กับสาเหตุการเสียชีวิต / บริจาคอวัยวะ = สมองตาย / บริจาคร่างกาย = แก่ตาย

การบริจาคร่างกาย

อาจารย์ใหญ่ คือ ร่างกายของมนุษย์ ที่ได้แสดงเจตจำนงชัดเจนในการบริจาคร่างกายไว้ก่อนที่จะเสียชีวิต ทั้งนี้ก็เพื่อให้นักศึกษาแพทย์ได้ใช้ร่างกายของตัวเองในการศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับเรื่อง มหกายวิภาคศาสตร์ หรือระบบของร่างกายนั่นเอง

คุณสมบัติอาจารย์ใหญ่ ผู้ที่บริจาคร่างกายให้เป็นอาจารย์ใหญ่นั้น ต้องไม่เสียชีวิตด้วยโรคร้ายแรง และต้องมีอวัยวะหรือส่วนต่างๆ ของร่างกายครบถ้วน

โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย รับบริจาคร่างกาย เปิดทำการ จันทร์-ศุกร์ เวลา 08.00-15.00 น. ส่วนวันเสาร์-อาทิตย์ เปิดทำการ 08.00-14.00 น. ค่ะ

บริจาคอวัยวะ

ตัวอย่าง บัตรประจำตัวผู้อุทิศร่างกาย เพื่อการศึกษาและวิจัยทางการแพทย์

การบริจาคอวัยวะ

การบริจาคอวัยวะ คือ การบริจาคแค่อวัยวะภายในของผู้เสียชีวิตที่ใช้ประโยชน์ได้ เช่น หัวใจ ปอด ไต ตับ อื่นๆ ทั้งนี้ก็เพื่อนำไปช่วยเหลือผู้ป่วยที่อวัยวะสำคัญเสื่อมสภาพ เมื่อหมอปลูกถ่ายอวัยวะเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็จะนำร่างผู้เสียชีวิตส่งกลับคืนให้กับทางครอบครัว เพื่อนำไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อไป

บริจาคเลือด

ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย

National Blood Centre Thai Red Cross Society

วิชาที่ทุกคนต้องผ่าน กับตำนานอาจารย์ใหญ่

ปี 2 จะต้องมีเรียนวิชาอาจารย์ใหญ่ค่ะ เรียนเกี่ยวกับส่วนต่างๆ ของร่างกาย ตอนแรกกลัวมาก เป็นคนไม่กลัวเลือด เข็ม แต่กลัวผี ขนลุกทุกครั้งที่เห็น แต่พอเรียนไปสักพัก ก็เริ่มสนุกขึ้นนะ เพราะเรารู้ว่าอาจารย์ท่านมาดี ท่านตั้งใจให้เราได้ศึกษา

แล้วทุกครั้งเวลาที่เราเรียนเสร็จ พวกเราจะต้องรวมตัวทำพิธีที่คณะ แล้วก็แยกไปทำตามวัดต่างๆ สำหรับความเชื่อของหนู คืออาจารย์ท่านให้เรามากเหลือเกินเราควรจะไปส่งท่านครั้งสุดท้าย เพื่อเป็นการแสดงความขอบคุณท่านเท่าที่เราจะทำได้ค่ะ

อย่างเคยมีเรื่องเล่าของรุ่นพี่คนหนึ่งนะ ที่เขาไม่ไปทำ แล้วพูดจาแบบไม่ค่อยแคร์ ปรากฏว่า พี่เขาสอบไม่ผ่านตั้งแต่ปี 3 เลยค่ะ พี่เขาก็ต้องไปขอขมาท่าน ถึงจะสอบผ่านได้นะ..

 

แหล่งที่มา: News.mthai.com, campus-star, นิตยสาร Campus star V.17 (สัมภาษณ์เมื่อ ตุลาคม 2014)