ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019
อาการป่วยเป็นอย่างไร อันตรายหรือไม่
ทำไมถึงพบผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
มารู้จักไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ เพื่อเฝ้าระวังตัวเองกัน
เป็นประเด็นสำคัญที่ทั่วโลกต้องเฝ้าระวัง
เมื่อมีข่าวโรคปอดบวมปริศนาแพร่ระบาดในเมืองอู่ฮั่น มณฑลเหอเป่ย
ทางตอนเหนือของประเทศจีน มาตั้งแต่ช่วงเดือนธันวาคม 2562 ภายหลังจึงพบว่า
ต้นตอของโรคปอดบวม หรือปอดอักเสบปริศนา
เกิดจากเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ และในตอนนั้นมีคำยืนยันว่า
โรคนี้ไม่ได้ติดต่อจากคนสู่คน
สถานการณ์การระบาดในช่วงแรกจึงดูไม่น่าวิตกอะไร
แต่ทว่าหลังจากนั้นไม่นาน
กลับมีรายงานตัวเลขผู้ติดเชื้อในประเทศจีนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
และผู้มีเสียชีวิต ขณะเดียวกันก็พบผู้ป่วยในอีกหลายประเทศ รวมทั้งประเทศไทย
พร้อมกับรายงานใหม่จากทางการจีนที่ระบุว่า
ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่สามารถติดต่อจากคนสู่คนได้ นั่นจึงทำให้เราต้องหันกลับมาสนใจและรู้ให้เท่าทันไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 ที่อาจไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป
ภาพจาก Noel Celis/AFP
ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 คืออะไร
จริง ๆ แล้ว ไวรัสโคโรนา เป็นไวรัสชนิดหนึ่งในตระกูลโคโรนาที่พบมานานกว่า 50-60 ปีแล้ว มีลักษณะคล้ายมงกุฎ จึงตั้งชื่อว่า "โคโรนา" ที่แปลว่า มงกุฎ สามารถก่อให้เกิดโรคได้ทั้งในสัตว์และมนุษย์ ซึ่งในมนุษย์จะก่อให้เกิดโรคทางเดินหายใจอักเสบ
ทั้งนี้ ที่ผ่านมาพบเพียง 6 สายพันธุ์ย่อย
ที่ทำให้เกิดการระบาดในมนุษย์ ในจำนวนนี้มีอยู่ 2
สายพันธุ์ที่เป็นการติดเชื้อจากสัตว์มาสู่คน ทำให้มีอาการรุนแรง นั่นคือ "โรคซาร์ส" (SARS - Severe Acute Respiratory Syndrome) หรือโรคระบบทางเดินหายใจเฉียบพลันร้ายแรง ที่ระบาดในฮ่องกง เมื่อปี 2002 และ "ไวรัสเมอร์ส"
(MERS: Middle East respiratory syndrome)
หรือโรคทางเดินหายใจอักเสบตะวันออกกลาง เมื่อปี 2012
ซึ่งคร่าชีวิตผู้คนจำนวนมากมาแล้ว ส่วนอีก 4 สายพันธุ์
แค่ทำให้เกิดโรคในระบบทางเดินหายใจทั่วไป เช่น ไข้หวัด ไข้หวัดใหญ่
แต่ไม่ก่ออันตรายเท่าสายพันธุ์อื่น ๆ
แต่ไวรัสโคโรนาที่เป็นต้นเหตุของโรคปอดบวมในเมืองอู่ฮั่นนั้น
เป็นสายพันธุ์ย่อยที่ 7 ซึ่งยังไม่เคยพบการระบาดมาก่อน จึงเรียกชื่อว่า
ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (2019-nCoV) หรือ Novel coronavirus 2019
ภาพจาก AFP PHOTO / BRITISH HEALTH PROTECTION AGENCY
ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 มาจากไหน
สำหรับต้นกำเนิดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ที่ 7 นั้น
ยังไม่ทราบแน่ชัด แต่เชื่อว่าต้องมีแหล่งกำเนิดมาจากสัตว์ชนิดหนึ่ง
เช่นเดียวกับเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์อื่น ๆ
อย่างเช่นโรคเมอร์สที่มีอูฐเป็นพาหะนำเชื้อมาสู่มนุษย์
โดยจากการสอบสวนโรคพบว่า ผู้ป่วยไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (2019-nCoV)
ส่วนใหญ่มีประวัติสัมผัสอาหารทะเลที่ตลาดค้าอาหารทะเลในเมืองอู่ฮั่น
จึงคาดว่าตลาดแห่งนี้อาจเป็นต้นกำเนิดของโรคดังกล่าว
และทางการได้สั่งปิดตลาดนี้แล้ว
อย่างไรก็ตาม
ตลาดนี้ไม่ได้ขายสัตว์ทะเลอย่างเดียว แต่ยังขายสัตว์ปีก นก ไก่ฟ้า งู
กระต่าย รวมไปถึงสัตว์ป่าชนิดอื่น ๆ อีกมาก จึงยังไม่ทราบว่า
ต้นกำเนิดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (2019-nCoV) มาจากสัตว์ชนิดใดกันแน่
แต่นักวิจัยหลายหน่วยงานในประเทศจีน พบว่า
ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่อยู่ในตระกูลเดียวกับโรคซาร์ส คือ HKU9-1
ซึ่งเป็นไวรัสที่พบได้ในค้างคาวชนิดกินผลไม้ จึงตั้งสมมติฐานว่า
ค้างคาวอาจเป็นพาหะของไวรัส
และอาจมีตัวกลางไม่ทราบชนิดเป็นตัวแพร่เชื้อจากค้างคาวไปสู่คน
ทั้งนี้ มีงานวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสาร Journal of Medical
Virology พบว่า พันธุกรรมของ 2019-nCoV มีความใกล้เคียงกับงูมากที่สุด
ซึ่งเป็นไปได้ที่เชื้อไวรัสโคโรนา น่าจะส่งผ่านจากค้าวคาวมาสู่งู
ก่อนที่จะส่งผ่านเชื้อจากงูเข้าสู่มนุษย์ จนเกิดการระบาดของโรคขึ้น
แต่นักวิจัยยังไม่สามารถระบุได้ว่าเชื้อไวรัสสามารถปรับตัวให้เข้ากับโฮสต์ที่เป็นสัตว์เลือดเย็น
และโฮสต์ที่เป็นสัตว์เลือดอุ่นได้อย่างไร
ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 ติดต่อกันได้อย่างไร
ในช่วงแรกของการระบาดยังไม่พบการติดเชื้อจากคนสู่คน
เพราะผู้ป่วยส่วนใหญ่ทำงานอยู่ที่ตลาดขายส่งปลาและอาหารทะเลในเมืองอู่ฮั่น
โดยมีประวัติสัมผัสสัตว์ การระบาดจึงจำกัดอยู่ในวงแคบ
กระทั่งกลางเดือนมกราคม
เริ่มมีรายงานพบผู้ติดเชื้อในเมืองใหญ่ ๆ ของประเทศจีนกว่าร้อยราย
ทั้งที่ไม่เคยไปเมืองอู่ฮั่นเลย แต่ติดไวรัสมาจากคนในครอบครัว
รวมทั้งยังพบเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ที่ดูแลคนไข้ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคปอดอักเสบจากเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่
(2019-nCoV) ในที่สุดแล้ว คณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติจีน (NHC)
จึงต้องออกมายืนยันว่า ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019
สามารถติดต่อจากคนสู่คนได้
ทั้งนี้ โดยทั่วไปแล้ว
โรคติดต่อทางเดินหายใจสามารถแพร่เชื้อได้จากการสัมผัสผู้ป่วย
สัมผัสสารคัดหลั่งของผู้ป่วย เช่น น้ำมูก น้ำลาย เสมหะ การไอ จาม
รวมทั้งการหายใจรับเชื้อเข้าสู่ร่างกาย
ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 อาการเป็นอย่างไร รุนแรงแค่ไหน
ณ ปัจจุบัน ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019
ยังไม่ถือว่ารุนแรงมากนักเมื่อเทียบกับโรคซาร์ส และเมอร์ส
เพราะทำให้เกิดอาการได้ตั้งแต่เป็นหวัดเพียงเล็กน้อย ไปจนถึงปอดอักเสบ
ขึ้นอยู่กับปัจจัยต่าง ๆ ของผู้ป่วยแต่ละคน
โดยหลังจากเชื้อเข้าสู่ร่างกายจะมีระยะเวลาฟักตัว 2-14 วัน
ดังนั้นถึงแม้จะได้รับเชื้อมาแล้วก็ไม่ใช่ว่าป่วยทันที อาจต้องรอถึง 14 วัน
จึงแสดงอาการให้เห็น ซึ่งผู้ป่วยจะมีอาการคล้ายไข้หวัดทั่วไป คือ
มีไข้สูง
ไอ จาม มีน้ำมูก เจ็บคอ
หากเป็นมากขึ้นจะมีอาการปวดเมื่อยตามตัว เจ็บหน้าอก หายใจลำบาก
เหนื่อยหอบ ท้องเสีย อาเจียน และอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนอย่างอาการปอดอักเสบ
(Pneumonia) หรือปอดบวม
จนถึงขั้นเสียชีวิตได้ในผู้ที่มีภูมิต้านทานไม่แข็งแรง
ใครคือกลุ่มเสี่ยงของโรค
ทุกคนสามารถติดเชื้อไวรัสดังกล่าวได้
แต่มีบุคคลบางกลุ่มที่มีโอกาสเสี่ยงติดเชื้อได้ง่าย
และเมื่อป่วยแล้วอาจมีอาการรุนแรงกว่าคนทั่วไป เช่น
เด็กเล็ก
ผู้สูงอายุ
ผู้ที่มีโรคประจำตัว
ผู้ที่มีภาวะคุ้มกันบกพร่อง
คนดูแล หรือใกล้ชิดผู้ป่วย
บุคลากรทางการแพทย์
ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 รักษาได้ไหม
ผู้ป่วยส่วนใหญ่มาพบแพทย์เพราะมีไข้สูง และไอ
คล้ายกับไข้หวัดทั่วไป
แต่เมื่อตรวจอย่างละเอียดจึงได้รับการวินิจฉัยว่าติดเชื้อและทำการรักษาอย่างทันท่วงทีจนหายเป็นปกติได้
โดยแพทย์จะรักษาตามอาการ เพราะยังไม่มียารักษาโดยตรงหรือวัคซีนป้องกัน
หากผู้ป่วยมีภูมิคุ้มกันแข็งแรง ร่างกายจะกำจัดเชื้อไปได้เอง
แต่ในบางคนอาจมีอาการหนักและทรุดลงอย่างรวดเร็วซึ่งขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย
เช่น ความแข็งแรงของร่างกาย ภูมิต้านทาน
รวมทั้งจำนวนเชื้อไวรัสที่เข้าสู่ร่างกาย
ทำให้ผู้ป่วยแต่ละคนมีอาการแตกต่างกัน ทั้งนี้ จากข่าวที่ปรากฏพบว่า
ผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่เป็นผู้สูงอายุ
หรือเป็นผู้ที่มีโรคประจำตัวอยู่ก่อนแล้ว
ภาพจาก STR / AFP
พบผู้ป่วยไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (2019-nCoV) ที่ไหนแล้วบ้าง ?
จากข้อมูลวันที่ 26 มกราคม 2563 พบผู้ติดเชื้อในประเทศจีน
กว่า 2,000 ราย เสียชีวิตแล้ว 80 ราย
โดยเป็นผู้ติดเชื้อในมณฑลหูเป่ยมากที่สุด นอกนั้นกระจายไปตามเมืองต่าง ๆ
เช่น ปักกิ่ง กวางตุ้ง เซี่ยงไฮ้ เจ้อเจียง
แต่ผู้ป่วยส่วนใหญ่มีประวัติเคยเดินทางไปยังเมืองอู่ฮั่น
ด้วยเหตุนี้
ทางการอู่ฮั่นจึงได้สั่งปิดเมืองและหยุดให้บริการขนส่งทางสาธารณะทั้งหมด
เพื่อไม่ให้คนเดินทางออกนอกอู่ฮั่น
ซึ่งคาดว่าการกักกันโรคครั้งนี้จะช่วยลดการแพร่กระจายของเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่
2019 ได้
ขณะที่ในต่างประเทศ
ก็พบนักท่องเที่ยวชาวจีนติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 หลายราย
ทั้งในประเทศไทย, เกาหลีใต้, ญี่ปุ่น, ไต้หวัน, มาเก๊า, สหรัฐอเมริกา,
สิงคโปร์, เวียดนาม, มาเลเซีย, ออสเตรเลีย, ฝรั่งเศส, แคนาดา, เนปาล
สถานการณ์ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 ในประเทศไทย
จนถึงวันที่ 26 มกราคม 2563 มีรายงานพบผู้ป่วย 8 ราย
เป็นชาวจีน 7 ราย และชาวไทย 1 ราย ทั้งหมดเดินทางมาจากพื้นที่เสี่ยงคือ
เมืองอู่ฮั่น ประเทศจีน และไม่ใช่การติดเชื้อจากคนสู่คน ซึ่งมีผู้ป่วย 5
รายได้รับการรักษาในประเทศไทยจนหายดีและเดินทางกลับบ้านแล้ว
ทั้งนี้ กระทรวงสาธารณสุขได้เตรียมรับมือโรคนี้อย่างเต็มที่ โดยมีมาตรการการเฝ้าระวังดังนี้
- ทำการคัดกรองผู้ที่เดินทางมาจากเมืองอู่ฮั่น ณ
ด่านควบคุมโรคติดต่อระหว่างประเทศ ใน 4 ท่าอากาศยาน ได้แก่
ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ดอนเมือง เชียงใหม่ และภูเก็ต
- ขอความร่วมมือให้โรงพยาบาลทำการคัดกรองผู้ป่วยที่มีอาการไข้
ร่วมกับมีอาการระบบทางเดินหายใจ เช่น ไอ เจ็บคอ มีน้ำมูก หายใจเหนื่อยหอบ
และมีประวัติการเดินทางไปเมืองอู่ฮั่น
- การเฝ้าระวังในชุมชน โดยให้ความรู้ประชาชน
เมื่อพบนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาจากพื้นที่ระบาดของโรค มีอาการไข้
ร่วมกับมีอาการระบบทางเดินหายใจ เช่น ไอ เจ็บคอ มีน้ำมูก หายใจเหนื่อยหอบ
ให้แจ้งบุคลากรสาธารณสุขในพื้นที่ หรือสายด่วนกรมควบคุมโรค DDC Hotline
1422
ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 ป้องกันได้ไหม ?
เราสามารถลดความเสี่ยงของการติดเชื้อได้เบื้องต้นเหมือนกับการป้องกันโรคติดต่อทางเดินหายใจทั่วไป เช่น
- สวมหน้ากากอนามัย
- ปิดปาก ปิดจมูก เวลาไอหรือจามด้วยกระดาษทิชชู หรือต้นแขนด้านใน
- หมั่นล้างมือให้สะอาดด้วยสบู่นาน 20 วินาที หรือเจลล้างมือ
- ไม่ใช้มือสกปรกแคะจมูก หรือหยิบอาหารเข้าปาก
- อย่านำมือที่ยังไม่ล้าง สัมผัสใบหน้า
- หลีกเลี่ยงการอยู่ในพื้นที่แออัด แหล่งชุมชน บริเวณที่มีคนอยู่เยอะ หรือสถานที่ที่มลภาวะเป็นพิษ
- หลีกเลี่ยงการสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ที่มีอาการติดเชื้อทางระบบหายใจ หรืออาการคล้ายไข้หวัด
- รักษาสุขภาพร่างกายให้แข็งแรง เพื่อสร้างภูมิต้านทานโรค
- นอนหลับให้เพียงพอ
- ปรุงอาหารประเภทเนื้อสัตว์และไข่ให้สุก
กรณีจำเป็นต้องเดินทางไปยังเมืองอู่ฮั่น หรือเดินทางไปประเทศจีน กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ได้แนะนำให้ปฏิบัติตัวดังนี้
- ระหว่างเดินทางในต่างประเทศ ขอให้หลีกเลี่ยงการอยู่ในสถานที่แออัด หรือสถานที่ที่มีมลภาวะเป็นพิษ
- ไม่อยู่ใกล้ชิดผู้ป่วยไอ จาม หากเลี่ยงไม่ได้ให้สวมใส่หน้ากากอนามัยป้องกัน
- หลีกเลี่ยงการเข้าไปตลาดค้าสัตว์มีชีวิต การสัมผัสหรืออยู่ใกล้ชิดกับสัตว์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสัตว์ที่ป่วย หรือตาย
- หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารรวมถึงเนื้อสัตว์ที่ไม่สุกดี
- หมั่นล้างมือให้สะอาดอยู่เสมอด้วยน้ำ และสบู่ หรือแอลกอฮอล์เจลล้างมือ ไม่นำมือมาสัมผัสตา จมูก ปาก โดยไม่จำเป็น
- ไม่ใช้ของส่วนตัวร่วมกับผู้อื่น (เช่น ผ้าเช็ดหน้า แก้วน้ำ
ผ้าเช็ดตัว)
เนื่องจากเชื้อก่อโรคทางระบบทางเดินหายใจสามารถเข้าสู่ร่างกายได้ทางการสัมผัสสารคัดหลั่งของผู้ติดเชื้อ
- รักษาร่างกายให้อบอุ่นอยู่เสมอ และนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ
- หลังเดินทางกลับถึงประเทศไทย ภายใน 14 วัน ถ้ามีอาการไข้
มีอาการระบบทางเดินหายใจ เช่น ไอ เจ็บคอ มีน้ำมูก หายใจเหนื่อยหอบ
ให้สวมหน้ากากอนามัย และรีบไปพบแพทย์หรือเจ้าหน้าที่สาธารณสุขทันที
พร้อมทั้งแจ้งประวัติการเดินทาง เนื่องจากมีโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนปอดบวม
และมีอาการรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้
- หากมีข้อสงสัยเพิ่มเติม สอบถามได้ที่สายด่วนกรมควบคุมโรค 1422
แม้เชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่
2019 จะยังไม่แพร่กระจายในประเทศไทย
แต่เราก็ยังต้องติดตามสถานการณ์การแพร่ระบาดในต่างประเทศให้ดี
เพราะจนถึงวันนี้ก็ยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่า
เชื้อไวรัสตัวใหม่นี้จะก่อให้เกิดการระบาดที่รุนแรงเหมือนกับโรคซาร์ส
และโรคเมอร์ส ได้หรือไม่
*อัปเดตข้อมูลล่าสุดวันที่ 27 มกราคม 2563
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก