กราบสวัสดีแฟนเพจชาวอัพยิ้มทุกท่าน
กลับมาพบกันเหมือนเดิมอีกเช่นเคยกับสาวย้อ พลัดถิ่น
สำหรับวันนี้ก็มีข่าวคราวของคนในวงการมาให้ได้ติดตามกันอีกเหมือนเดิม
เชื่อว่าหลายคนคงจะยังจำได้ดี สำหรับอดีตนางเอกซุปตาร์ดัง “แหม่ม อลิสา
ขจรไชยกุล” จากที่เคยโด่งดัง แต่ปัจจุบันต้องเผชิญกับความล้มเหลว
เนื่องจากธุรกิจมีหนี้สินหลายล้าน พร้อมทั้งมีโรครุมเร้ามากมาย
จนต้องผันตัวมาเป็นแม่ค้าขายอาหารตามสั่ง สาวย้อ
พลัดถิ่นจะพาลูกเพจทุกคนย้อนไปชม
ชีวิตของเธอตอนเข้าวงการและโด่งดังเป็นพลุแตก เราไปชมกันเลยค่ะ
ย้อนกลับไปก่อนเข้าวงการชีวิตของแหม่มไม่สมบูรณ์มาตั้งแต่เด็ก เพราะคุณพ่อซึ่งเป็นชาวต่างชาติ แยกทางกับคุณแม่มาตั้งแต่แหม่มยังเล็ก ส่วนใหญ่แหม่มจะอยู่กับคุณยายและญาติ ๆ ที่จังหวัดชลบุรี สมัยก่อนการเป็นเด็กผู้หญิงลูกครึ่ง “หัวแดง” ถือเป็นปมด้อย ไม่เหมือนสมัยนี้ นอกจากจะโดนเพื่อนล้อแล้ว สรีระของแหม่มก็สูงใหญ่กว่าเพื่อนวัยเดียวกัน แต่โชคดีที่ คุณน้าปรีชา ขจรไชยกุล ทำให้ปมด้อยนี้กลายเป็นปมเด่น
ท่านพาแหม่มเดินสายประกวดนางงามตั้งแต่ระดับท้องถิ่นจนถึงระดับประเทศ ได้รางวัลบ้างไม่ได้บ้าง ที่ได้ก็เป็นขันน้ำ พานรอง มายุคหลัง ๆ จึงเริ่มได้เป็นเงิน แต่ก็หลักพันหลักหมื่นเท่านั้น จนกระทั่งช่วงเรียน ม.3 แหม่มได้เป็นตัวแทนประเทศไทยไปประกวดมิสเวิลด์ในปี 2526 และเข้าประกวดนางสาวไทยในปี 2527 หลังจากนั้นก็เริ่มเข้าสู่วงการบันเทิง เล่นละครเรื่องเบญจรงค์ 5 สี มี คุณจิ๋ม-มยุรฉัตร เหมือนประสิทธิเวช เป็นผู้จัด แสดงร่วมกับ คุณมยุรา ธนะบุตร และดาราชื่อดังในยุคนั้น ก่อนจะรับบทนางเอกเต็มตัวให้กับสถานีโทรทัศน์สีกองทัพบกช่อง 7 เรื่อง หัวใจสองภาค
เล่นละครได้สักระยะก็เกิดจุดพลิกผันครั้งใหญ่ในชีวิตของคุณแหม่ม อลิษา เมื่อเธอตกปากรับคำรับบท “แม่” ทั้ง ๆ ที่ตอนนั้นเธอยังสาวยังสวยอยู่ ถึงแม้ว่าละครเรื่องนั้นเธอจะเล่นเป็นคุณแม่วัยรุ่นก็ตาม แต่เมื่อรับบทแม่แล้ว บทแม่เรื่องอื่น ๆ ก็มาเรื่อย ๆ จนหลายคนเลยมองว่า เธอเป็นนักแสดงที่ลงมาเป็นแม่เร็วมาก
เมื่อถามย้อนไปถึงสมัยที่เป็นดารารุ่น ๆ คุณแหม่มเล่าว่า ถ้าถามว่ารวยไหม ก็ไม่ได้เรียกว่ารวยมาก แต่คิดเอาไว้ตั้งแต่เข้าวงการบันเทิงแล้วว่า อยู่ที่นี่เธอต้องมีบ้าน มีรถให้ได้ พยายามจะทำเงินไปซื้อเป็นทรัพย์สินให้หมด แต่มีอยู่ช่วงหนึ่งหลงระเริงไปกับการซื้อรถ เปลี่ยนรถบ่อยมาก เพราะเราเป็นคนชอบเรื่องนี้และเพื่อน ๆ รอบตัวก็ชอบเรื่องนี้เหมือนกัน เลยตาม ๆ กันไป..
แต่จุดเปลี่ยนชะตาชีวิตจากหน้ามือเป็นหลังมือนั้น เป็นเพราะเธอจับธุรกิจส่งออกสินค้าแฮนด์เมด ในช่วงเศรษฐกิจฟองสบู่ บวกกับการลงทุนแบบไม่รอบคอบ ก็ทำให้เธอค่อย ๆ ขาดทุน และค่อย ๆ มีหนี้เพิ่มขึ้น เนื่องจากสินค้าของเธอ แค่โดนตีกลับสองล็อตก็ขาดทุนไปร่วม ๆ ล้านบาทแล้ว ความฝันที่จะมีธุรกิจเป็นของตัวเอง นั่งแท่นเป็นผู้บริหารบนโต๊ะหรู ๆ เลยต้องพับเก็บใส่กระเป๋าตั้งแต่บัดนั้น..
มันเคว้งคว้างมาก แหม่มเป็นหนี้ 10 กว่าล้าน ใช้หนี้เองคนเดียวทั้งหมด คนที่ร่วมหุ้นเขาไม่ช่วยเลย บ้านก็ขายทอดตลาด มีรถกี่คัน ๆ ก็ขายทอดตลาดไปหมด ทำอย่างไรก็ได้ให้หนี้เหลือน้อยที่สุด” คุณแหม่ม กล่าว
หลังจากมรสุมชีวิตในเรื่องธุรกิจได้ถาโถมเข้ามา ทำให้คุณแหม่ม อลิษา เครียดจัด ประกอบกับน้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากเป็นคนกระดูกใหญ่ โครงร่างใหญ่ ทำให้เธอจิตตกเรื่องน้ำหนักตัว เลยกินยาลดความอ้วนขนาดหนัก แต่กลับโยโย่ ทำให้เธอต้องกลายเป็นคนซึมเศร้าเนื่องจากกังวลเรื่องน้ำหนักตลอดมา
“วงการบันเทิงในเมืองไทย ถ้าอ้วนก็ไม่ได้งาน เป็นดาราต้องตัวเล็ก ไม่เหมือนต่างประเทศที่ดูกันด้วยฝีมือ พอตนน้ำหนักขึ้น ก็พยายามลดน้ำหนักให้ผอม แต่ทำได้เพียงช่วงหนึ่ง ก็ต้องมารับบทแม่ บทแม่พระเอก-นางเอก ถ้าผอมไปก็ไม่ได้อีก เลยต้องกิน ทำให้ร่างกายมันโยโย่ พอคราวนี้เมื่ออ้วนก็จิตตก เวลาไปกองถ่ายก็มีคนพูดว่า กินอีกแล้วไม่กลัวอ้วนเหรอ เขาไม่ได้ถามเลยว่าวันนี้เรากินข้าวมาหรือยัง หรือบางทีไปฟิตติ้งก็จะได้ยินคำว่า อ้วนขึ้นต้องใช้ผ้าเยอะ ทำให้เราไม่มั่นใจ กังวลเรื่องน้ำหนักจนกลายเป็นโรคซึมเศร้าต้องเข้าพบจิตแพทย์” คุณแหม่ม อลิษา กล่าว
คุณแหม่ม กล่าวอีกว่า ตอนนี้ยอมรับในน้ำหนักตัวเองได้แล้ว แต่ก็พยายามให้ตัวเล็กลงกว่านี้ ไม่ใช่เพื่อไม่ให้คนว่าเราอ้วน แต่เพื่อสุขภาพของเธอเองด้วย
หลังจากโดนพายุปัญหากระหน่ำทั้งเรื่องโรคภัยและเรื่องหนี้สิน คุณแหม่มจึงตัดสินใจกลับบ้านที่ศรีราชาอยู่ปีหนึ่งก่อนจะกลับมาสู้ชีวิตที่กรุงเทพฯ อีกครั้ง เริ่มต้นโดยการขายสลัดผัก ขายสับปะรดภูแล ขายน้ำปั่น ขายขนมหวาน ขายสารพัด จนสุดท้ายมาหยุดอยู่ที่ขายอาหารตามสั่ง ซึ่งเธอวางแผงตั้งขายที่หน้าคอนโดฯ ในเมืองทองธานีที่เธออาศัยอยู่
เป็นอย่างไรกันบ้างสำหรับเรื่องราวที่สาวย้อ พลัดถิ่นได้นำมาฝากกันในวันนี้ ชีวิตคนเรามันมีอะไรไม่แน่นอนจริงๆ จงอย่าเชื่อกับสิ่งที่มี สำหรับใครที่ผ่านไปแถวนั้น อย่าลืมแวะอุดหนุนกันด้วยนะคะ
ย้อนกลับไปก่อนเข้าวงการชีวิตของแหม่มไม่สมบูรณ์มาตั้งแต่เด็ก เพราะคุณพ่อซึ่งเป็นชาวต่างชาติ แยกทางกับคุณแม่มาตั้งแต่แหม่มยังเล็ก ส่วนใหญ่แหม่มจะอยู่กับคุณยายและญาติ ๆ ที่จังหวัดชลบุรี สมัยก่อนการเป็นเด็กผู้หญิงลูกครึ่ง “หัวแดง” ถือเป็นปมด้อย ไม่เหมือนสมัยนี้ นอกจากจะโดนเพื่อนล้อแล้ว สรีระของแหม่มก็สูงใหญ่กว่าเพื่อนวัยเดียวกัน แต่โชคดีที่ คุณน้าปรีชา ขจรไชยกุล ทำให้ปมด้อยนี้กลายเป็นปมเด่น
ท่านพาแหม่มเดินสายประกวดนางงามตั้งแต่ระดับท้องถิ่นจนถึงระดับประเทศ ได้รางวัลบ้างไม่ได้บ้าง ที่ได้ก็เป็นขันน้ำ พานรอง มายุคหลัง ๆ จึงเริ่มได้เป็นเงิน แต่ก็หลักพันหลักหมื่นเท่านั้น จนกระทั่งช่วงเรียน ม.3 แหม่มได้เป็นตัวแทนประเทศไทยไปประกวดมิสเวิลด์ในปี 2526 และเข้าประกวดนางสาวไทยในปี 2527 หลังจากนั้นก็เริ่มเข้าสู่วงการบันเทิง เล่นละครเรื่องเบญจรงค์ 5 สี มี คุณจิ๋ม-มยุรฉัตร เหมือนประสิทธิเวช เป็นผู้จัด แสดงร่วมกับ คุณมยุรา ธนะบุตร และดาราชื่อดังในยุคนั้น ก่อนจะรับบทนางเอกเต็มตัวให้กับสถานีโทรทัศน์สีกองทัพบกช่อง 7 เรื่อง หัวใจสองภาค
เล่นละครได้สักระยะก็เกิดจุดพลิกผันครั้งใหญ่ในชีวิตของคุณแหม่ม อลิษา เมื่อเธอตกปากรับคำรับบท “แม่” ทั้ง ๆ ที่ตอนนั้นเธอยังสาวยังสวยอยู่ ถึงแม้ว่าละครเรื่องนั้นเธอจะเล่นเป็นคุณแม่วัยรุ่นก็ตาม แต่เมื่อรับบทแม่แล้ว บทแม่เรื่องอื่น ๆ ก็มาเรื่อย ๆ จนหลายคนเลยมองว่า เธอเป็นนักแสดงที่ลงมาเป็นแม่เร็วมาก
เมื่อถามย้อนไปถึงสมัยที่เป็นดารารุ่น ๆ คุณแหม่มเล่าว่า ถ้าถามว่ารวยไหม ก็ไม่ได้เรียกว่ารวยมาก แต่คิดเอาไว้ตั้งแต่เข้าวงการบันเทิงแล้วว่า อยู่ที่นี่เธอต้องมีบ้าน มีรถให้ได้ พยายามจะทำเงินไปซื้อเป็นทรัพย์สินให้หมด แต่มีอยู่ช่วงหนึ่งหลงระเริงไปกับการซื้อรถ เปลี่ยนรถบ่อยมาก เพราะเราเป็นคนชอบเรื่องนี้และเพื่อน ๆ รอบตัวก็ชอบเรื่องนี้เหมือนกัน เลยตาม ๆ กันไป..
แต่จุดเปลี่ยนชะตาชีวิตจากหน้ามือเป็นหลังมือนั้น เป็นเพราะเธอจับธุรกิจส่งออกสินค้าแฮนด์เมด ในช่วงเศรษฐกิจฟองสบู่ บวกกับการลงทุนแบบไม่รอบคอบ ก็ทำให้เธอค่อย ๆ ขาดทุน และค่อย ๆ มีหนี้เพิ่มขึ้น เนื่องจากสินค้าของเธอ แค่โดนตีกลับสองล็อตก็ขาดทุนไปร่วม ๆ ล้านบาทแล้ว ความฝันที่จะมีธุรกิจเป็นของตัวเอง นั่งแท่นเป็นผู้บริหารบนโต๊ะหรู ๆ เลยต้องพับเก็บใส่กระเป๋าตั้งแต่บัดนั้น..
มันเคว้งคว้างมาก แหม่มเป็นหนี้ 10 กว่าล้าน ใช้หนี้เองคนเดียวทั้งหมด คนที่ร่วมหุ้นเขาไม่ช่วยเลย บ้านก็ขายทอดตลาด มีรถกี่คัน ๆ ก็ขายทอดตลาดไปหมด ทำอย่างไรก็ได้ให้หนี้เหลือน้อยที่สุด” คุณแหม่ม กล่าว
หลังจากมรสุมชีวิตในเรื่องธุรกิจได้ถาโถมเข้ามา ทำให้คุณแหม่ม อลิษา เครียดจัด ประกอบกับน้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากเป็นคนกระดูกใหญ่ โครงร่างใหญ่ ทำให้เธอจิตตกเรื่องน้ำหนักตัว เลยกินยาลดความอ้วนขนาดหนัก แต่กลับโยโย่ ทำให้เธอต้องกลายเป็นคนซึมเศร้าเนื่องจากกังวลเรื่องน้ำหนักตลอดมา
“วงการบันเทิงในเมืองไทย ถ้าอ้วนก็ไม่ได้งาน เป็นดาราต้องตัวเล็ก ไม่เหมือนต่างประเทศที่ดูกันด้วยฝีมือ พอตนน้ำหนักขึ้น ก็พยายามลดน้ำหนักให้ผอม แต่ทำได้เพียงช่วงหนึ่ง ก็ต้องมารับบทแม่ บทแม่พระเอก-นางเอก ถ้าผอมไปก็ไม่ได้อีก เลยต้องกิน ทำให้ร่างกายมันโยโย่ พอคราวนี้เมื่ออ้วนก็จิตตก เวลาไปกองถ่ายก็มีคนพูดว่า กินอีกแล้วไม่กลัวอ้วนเหรอ เขาไม่ได้ถามเลยว่าวันนี้เรากินข้าวมาหรือยัง หรือบางทีไปฟิตติ้งก็จะได้ยินคำว่า อ้วนขึ้นต้องใช้ผ้าเยอะ ทำให้เราไม่มั่นใจ กังวลเรื่องน้ำหนักจนกลายเป็นโรคซึมเศร้าต้องเข้าพบจิตแพทย์” คุณแหม่ม อลิษา กล่าว
คุณแหม่ม กล่าวอีกว่า ตอนนี้ยอมรับในน้ำหนักตัวเองได้แล้ว แต่ก็พยายามให้ตัวเล็กลงกว่านี้ ไม่ใช่เพื่อไม่ให้คนว่าเราอ้วน แต่เพื่อสุขภาพของเธอเองด้วย
หลังจากโดนพายุปัญหากระหน่ำทั้งเรื่องโรคภัยและเรื่องหนี้สิน คุณแหม่มจึงตัดสินใจกลับบ้านที่ศรีราชาอยู่ปีหนึ่งก่อนจะกลับมาสู้ชีวิตที่กรุงเทพฯ อีกครั้ง เริ่มต้นโดยการขายสลัดผัก ขายสับปะรดภูแล ขายน้ำปั่น ขายขนมหวาน ขายสารพัด จนสุดท้ายมาหยุดอยู่ที่ขายอาหารตามสั่ง ซึ่งเธอวางแผงตั้งขายที่หน้าคอนโดฯ ในเมืองทองธานีที่เธออาศัยอยู่
เป็นอย่างไรกันบ้างสำหรับเรื่องราวที่สาวย้อ พลัดถิ่นได้นำมาฝากกันในวันนี้ ชีวิตคนเรามันมีอะไรไม่แน่นอนจริงๆ จงอย่าเชื่อกับสิ่งที่มี สำหรับใครที่ผ่านไปแถวนั้น อย่าลืมแวะอุดหนุนกันด้วยนะคะ