Home »
Uncategories »
น้ำตาซึม! หนุ่มพาแม่ป่วยระยะสุดท้ายไปหาหมอ แต่หมอกับบอกบางอย่าง ที่ทำใจยาก
น้ำตาซึม! หนุ่มพาแม่ป่วยระยะสุดท้ายไปหาหมอ แต่หมอกับบอกบางอย่าง ที่ทำใจยาก
ถือเป็นสัจจะธรรมชีวิตข้อหนึ่ง ที่ทุกคนล้วนหลีกเลี่ยงไม่ได้ ทั้งการเจ็บป่วย หรือแม้กระทั่งการจากลาโลกนี้
เหมือนกับเคสล่าสุด ของครอบครัวหนึ่ง ที่ต้องรักษาแม่
ซึ่งป่วยโรคไตวายระยะสุดท้าย
ซึ่งพี่ชายคนโตของบ้านจะเอ่ยปากบอกคุณหมอเจ้าของไข้ว่า
ขอทำเรื่องย้ายแม่ไปรักษาในโรงพยาบาลแถวบ้าน
เหตุผลก็เผื่อประหยัดค่าใช้จ่ายลงมา เนื่องด้วยครอบครัวมีฐานะปานกลาง
สู้ค่าใช่จ่ายไม่ไหว
โดยคุณหมอเจ้าของไข้ ได้ให้คำแนะนำบางอย่าง แม้จะทำใจยากสักนิด แต่เพื่อความสุขของลูกๆ และแม่ที่ป่วยหนัก
ซึ่งตามอาการจริงต้องบอกว่า ที่แม่มีชีวิตอยู่ได้ในตอนนี้
เป็นเพราะเครื่องช่วยหายใจ และระบบการรักษาต่างๆ
ทั้งที่ร่างกายอาจจะไม่ตอบสนองแล้ว
สุดท้ายคุณหมอได้ใช้หลักการที่ว่า “ผมไม่ได้กำลังรักษาโรค แต่ผมกำลังรักษาคน”
ทั้งนี้นายแพทย์คนดังกล่าว ได้เล่าเรื่องราวทั้งหมดผ่านทางเฟซบุ๊ก Kasiwat Sripradit ระบุว่า
“All for the love of a mom #BackToDrJeabMemory
“หมอครับผมขอพาแม่ย้ายมารักษาที่โรงพยาบาลบ้านโพธิ์ได้มั้ยครับ”…..เสียงจากโทรศัพท์ของชายผู้หนึ่งซึ่งเป็นญาติผู้ป่วยโทรมา
ในตอนสายของวันอาทิตย์ปลายปี 2550 ในขณะที่ผมอยู่เวรนอกเวลาราชการ
กำลังราวด์ผู้ป่วยในอยู่พอดี
เขาขอนำคุณแม่ของเขามารักษาตัวต่อ
ซึ่งข้อมูลเบื้องต้นเป็นผู้ป่วยไตวายเรื้อรังอายุ 60 ปีเศษ
ผมจึงแจ้งว่ายินดีรับไว้ เหมือนกับผู้ป่วยโรคเรื้อรังรายอื่น ๆ
ประมาณสี่โมงเย็น พยาบาลได้ตามผมมารับดูแลผู้ป่วย ผมได้พูดคุยกับญาติ
ที่มีประมาณ 5-6 คน ที่มาพร้อมกับผู้ป่วยในขณะที่ผู้ป่วยดูเหมือนนอนหลับ
ค่อนข้างบวม มีสายระโยงระยางต่อกับขวดน้ำเกลือใหญ่น้อย 4-5 ขวด
บุตรชายที่ติดต่อมา ได้แนะนำตัว
และส่งหนังสือส่งตัวของโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งมาให้
ผมสังเกตว่าเขาเป็นกังวล และดูเป็นทุกข์มาก เช่นเดียวกับญาติคนอื่น ๆ
ผมก็ได้อ่านหนังสือส่งตัวที่พิมพ์จากโปรแกรมคอมพิวเตอร์
มีสำเนารายงานการรักษาอย่างละเอียด ผมก็พลิกดูเฉพาะที่สำคัญ
เพราะว่าถ้าอ่านทั้งหมดคนใช้เวลาเป็นชั่วโมง
หลังจากนั้นผมก็ตรวจร่างกายผู้ป่วย…
พอตรวจเสร็จ ผมเชิญญาติทุกคนเข้ามาหา ผมเริ่มจากถามบุตรชายคนนั้นซึ่งตอนนี้ทราบว่าเป็นบุตรชายคนโต ของพี่น้อง 4 คน ว่า
“ขอโทษนะครับ ไม่ทราบว่าต้องการให้ผมดูแลคุณแม่อย่างไร”ผมถามหยั่งเชิงความต้องการของญาติ
เขาก็คงแปลกใจ เพราะคำถามนี้ควรจะเป็นเขาถามผมมากกว่า พอหันไปหาญาติคนอื่น ทุกคนไม่พูดอะไร
“….ก็แล้วแต่คุณหมอก็แล้วกันครับ”เขาตอบกลับมา
ผมถามต่อไปว่า”ทราบใช่มั้ยครับว่า คุณแม่เป็นไตวายระยะสุดท้าย”…ทุกคนพยักหน้า
“ฟอกมาได้เกือบสองเดือนแล้วครับ
แต่ว่าตอนนี้ครอบครัวคงสู้ค่าใช้จ่ายไม่ไหว เลยขอย้ายออกมา
พอดีแม่เคยมาตรวจกับคุณหมอเมื่อหลายปีก่อน
เลยคิดว่าอาจจะพอช่วยพวกเราได้”เขาตอบกลับมา
“อ้อเหรอครับ
แต่โรงพยาบาลผมไม่มีบริการฟอกเลือดนะครับ”ผมบอกข้อมูลสำคัญ…(โรงพยาบาลบ้านโพธิ์เพิ่งมีบริการจ้างเหมาฟอกเลือดในปี
พ.ศ.2558)
พวกเขาก็ดูเหมือนผิดหวังเล็กน้อย ผมก็เลยถามต่อว่า “แล้วตอนที่ไปโรงพยาบาลโน้น คุณแม่มีอาการเป็นยังไง”
“ก็นอนหลับไม่รู้สึกตัวแบบนี้ละครับ ปัสสาวะแทบไม่ออกเลย หมอที่นั่นเขาบอกว่าต้องฟอกเลือด”
แล้วเขาก็เล่าต่อว่า”ฟอกครั้งนึงก็ 4 พัน วันละ 2 ครั้ง
เพราะมีของเสียคั่งมาก….แล้วเขาก็เอาแม่นอนในห้องไอซียู
ให้ญาติเข้าเยี่ยมวันละครั้ง
ไม่เกินชั่วโมงต้องออกเพราะพยาบาลกลัวว่าจะติดเชื้อ”….(ค่าห้องไอซียูและค่าฟอกเลือดในช่วงเวลานั้นในโรงพยาบาลเอกชนแพงมาก
และโรงพยาบาลรัฐบาลส่วนใหญ่ก็เข้าถึงยากมาก
โรงพยาบาลชุมชนไม่ต้องพูดถึงไม่มีบริการ)
“ถ้าจะประคับประคองก็คงจะต้องฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม” ผมเสนอทางเลือก
“แล้วเอาเงินจากไหนมาครับ”ผมถามเรื่องภาระค่าใช้จ่าย?
“พี่น้องก็เอาเงินลงขันกัน แต่ก็ไม่พอเลยตัดสินใจขายที่ดินกองกลาง
มาเป็นค่ารักษา รวม ๆ แล้วก็แปดแสนกว่าบาท มันจะเยอะเกินกว่านี้
เลยขอหมอเขากลับบ้าน”
ผมคิดในใจว่าเป็นเงินแปดแสนบาทค่อนข้างมากสำหรับครอบครัวฐานะปานกลางครอบครัวนี้
ผมเลยได้อธิบายว่า “ความจริงคุณแม่เป็นไตวายระยะสุดท้าย
คงมีของเสียที่คั่งไปกดสมองมานานแล้ว
การฟอกเลือดคงแค่ยืดระยะเวลาของผู้ป่วยออกไปเท่านั้น
ที่ผ่านมาคุณแม่เหมือนเป็นตุ๊กตาตัวหนึ่งที่ไม่รับรู้ และถ้าคุณแม่รับรู้ว่าต้องเสียเงินมากมายเพื่อรักษาตัวของเขา ท่านคงเสียใจมาก”
…ฟังถึงตอนนี้ญาติหลายคนมีสีหน้ากังวล ผมเลยพูดต่อว่า “ลูก ๆ
ก็ไม่ผิดอะไรหรอกครับ เพราะแม่ใคร ใครก็รักและอยากรักษาอย่างเต็มที่
เคสนี้ไม่ใช่รายแรกและรายสุดท้ายที่จะเจอเหตุการณ์แบบนี้”…..พอพูดถึงตอนนี้ทุกคนนิ่งเงียบ
พี่ชายคนโตเดินมาไหว้ผมแล้วบอกว่า “ผมน่าจะเจอหมอก่อน
จะได้เข้าใจว่าแม่ไม่ไหวแล้ว จริง ๆ
ถ้าใช้เงินแปดแสนแล้วแม่ผมหายก็คงคุ้ม….หมอครับ
แล้วแม่ผมจะอยู่ได้อีกนานแค่ไหน” ?
ผมบอกว่า “ถ้ายังไม่พร้อมพาแม่กลับบ้านตอนนี้
ผมขอเอาสายน้ำเกลือที่มีอยู่ออก งดยาทุกตัว
ให้ญาติทุกคนอยู่กับคุณแม่ให้นานที่สุด แสดงความรักให้เต็มที่
ผมไม่แน่ใจว่ามีเวลาอีกเท่าไหร่ แต่น่าจะภายในคืนนี้”
พวกเขาลงความเห็นว่าไม่ต้องการเคลื่อนย้ายอีกแล้ว ขออยู่ที่นี่ ผมก็พยักหน้า แล้วผมก็ขอตัวจากมา….
ความรู้สึกตอนนั้นบอกไม่ถูก ไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าทำอย่างนี้ถูกต้องหรือไม่
แต่รู้อย่างหนึ่งว่า ถ้าผมเป็นชายคนนั้น
ผมก็คงต้องการรับรู้ข้อมูลอย่างนี้เหมือนกัน
ผมคิดว่าคุณแม่เป็นผู้ป่วยก็จริง แต่คนที่ป่วยมากกว่าก็คือลูกทุกคน
โดยที่การรักษาไม่ใช่ยาแต่เป็นเพียงข้อมูล ความรู้และความเข้าใจต่างหาก
คุณแม่ของพวกเขาเสียชีวิตในอีกสองชั่วโมงถัดมา ผมสัมผัสได้ว่าลูกๆ
ทุกคนรู้สึกยินดีในความสูญเสีย เหมือนหายจากความทุกข์
เพราะรับทราบว่าคุณแม่ที่เป็นที่รักได้พ้นจากวัฏสงสารอย่างสงบ
ญาติทุกคนเข้ามากอดผมทั้งๆ ที่เพิ่งรู้จักกันแค่ 2 ชั่วโมงกว่า ๆ
ผมเขียนหนังสือรับรองการตาย ให้รถโรงพยาบาลไปส่งศพที่วัด
ไปทอดผ้าบังสกุลในวันเผา
นี่เป็นครั้งแรกที่ผมได้ทำหน้าที่ของแพทย์ในลักษณะที่ไม่เคยทำมาก่อน ไม่มีคำสั่งให้ยารักษา ไม่ให้สารน้ำ และอาหาร
แต่ผมได้ทำให้ 2 ชั่วโมงนั้นมีค่าสำหรับครอบครัวนี้…..ใช่แล้ว
ผมไม่ได้กำลังรักษาโรค แต่ผมกำลังรักษาคน
อย่างที่อาจารย์แพทย์ท่านได้สอนไว้เสมอ…”
ที่มา Kasiwat Sripradit