Home »
Uncategories »
ผอ.รพ. เตือนโรค”ไบโพลาร์” อารมณ์ขึ้น-ลง ต้องรีบรักษา
ผอ.รพ. เตือนโรค”ไบโพลาร์” อารมณ์ขึ้น-ลง ต้องรีบรักษา
วันไบโพลาร์โลก หรือโรคอารมณ์ 2 ขั้ว ตรงกับวันที่ 30 มีนาคม
นพ.กิตต์กวี โพธิ์โน ผู้อำนวยการ โรงพยาบาลจิตเวชนครราชสีมา จ.นครราชสีมา กล่าวว่า ไบโพลาร์เป็นความผิดปกติทางอารมณ์ ไม่ใช่โรคทางจิต
สาเหตุเนื่องจากประชาชนเข้าใจผิดคิดว่าอาการที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องปกติของอารมณ์ทั่วไป ไม่ใช่การป่วย
นพ.กิตต์กวีกล่าวว่า สาเหตุหลักของโรคไบโพลาร์
เกิดมาจากสารเคมีในสมองทำงานผิดปกติ และอาจเกิดในผู้ที่มีความเครียดสะสม
หรืออดนอนบ่อยๆ
ทำให้มีอาการเปลี่ยนแปลงไปจากนิสัยหรือบุคลิกเดิมของคนคนนั้น
ลักษณะอาการเด่นของโรคนี้ ที่ต่างจากโรคอื่นๆ คือจะมีอารมณ์ 2 ขั้ว คือขั้วของอารมณ์ดีครื้นเครงมากกว่าปกติ เช่น จะพูดมาก ขยัน มีความคิดฟุ้งเฟื่อง
ส่วนขั้วของอารมณ์เศร้าซึม จะมีอาการท้อแท้ เบื่อหน่าย ไม่อยากทำอะไร
เบื่ออาหาร อาการจะเกิดขึ้นเองสลับกันเป็นช่วงๆ เหมือนกับการนั่งรถไฟเหาะ
แต่ละช่วงจะเป็นอยู่ทั้งวัน นานเป็นอาทิตย์หรือหลายๆ เดือนก็ได้
ส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน การดูแลตัวเอง การทำงาน
ความสัมพันธ์กับบุคคลอื่นๆ
โดยอาการในขั้วเศร้านั้นจะเกิดอย่างช้าๆ ส่วนขั้วของอารมณ์ดี
ครื้นเครงมักจะเป็นเร็วมาก
จึงทำให้ผู้ป่วยเองหรือคนใกล้ชิดเข้าใจผิดคิดว่าเป็นเรื่องปกติธรรมดา
หรือเป็นการแสร้งทำเพื่อเรียกร้องความสนใจ ไม่ใช่การเจ็บป่วย
ทำให้ส่วนใหญ่จึงไม่ได้เข้ารักษาตัว
ขอแนะนำให้ผู้ที่มีลักษณะอาการที่กล่าวมาอย่านิ่งนอนใจ
ให้รีบพบแพทย์ที่โรงพยาบาลใกล้บ้านทุกแห่งทั่วประเทศ
หรือปรึกษาเจ้าหน้าที่สาธารณสุขที่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล
หรือโทร.ปรึกษาสายด่วนสุขภาพจิต 1323 ตลอด 24 ชั่วโมง
เนื่องจากโรคนี้มียาที่มีประสิทธิภาพสูงรักษา ได้ผลดีมาก
ยาจะควบคุมการทำงานของสารเคมีในสมองให้อยู่ในสภาวะสมดุล โรคหายขาดได้
ผู้ป่วยสามารถใช้ชีวิต เช่นเรียนหนังสือ ทำงานได้ตามปกติทั่วไป
มีบางรายอาจต้องทำจิตบำบัดความคิดและพฤติกรรมที่เป็นปัญหาเพิ่มเติมบ้าง
ใช้เวลารักษาประมาณ 6 เดือน-2 ปี
แต่หากไม่รักษาจะทำให้อาการลุกลามรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ถึงขั้นเกิดอาการหลงผิด
มีความคิดฆ่าตัวตายได้
นพ.กิตต์กวี กล่าวต่อว่า
สิ่งที่จะเอื้อให้ผู้ป่วยโรค ไบโพลาร์หายป่วย คนรอบข้าง เพื่อนร่วมงาน
และครอบครัวมีส่วนสำคัญมาก
ต้องอยู่กับผู้ป่วยอย่างเข้าใจว่าพฤติกรรมและอารมณ์ที่ผิดปกติเป็นความเจ็บป่วย
ไม่ใช่นิสัยแท้จริงของผู้ป่วย และต้องรักษา
เมื่อผู้ป่วยอาการดีขึ้นควรให้กำลังใจให้ผู้ป่วยกลับไปใช้ชีวิตได้ตามปกติ
โดยสิ่งที่ครอบครัวไม่ควรทำเนื่องจากจะทำให้อาการผู้ป่วยแย่ลง มี 4
ประการ คือ 1.ใช้อารมณ์กับ ผู้ป่วย 2.ขัดแย้งกับผู้ป่วย
3.พยายามควบคุมหรือจัดการกับชีวิตผู้ป่วย และ 4.ไม่ยอมรับในตัวผู้ป่วย
คนใกล้ชิดควรสังเกตอาการผู้ป่วยต่อเนื่อง หากมีอาการผิดปกติคือ
มีปัญหาการนอน เช่น นอนไม่หลับ นอนมากเกินไป หรือมีพฤติกรรมเปลี่ยน เช่น
เอะอะอาละวาด หวาดระแวง หรือมีปัญหากับคนรอบข้าง
ต้องรีบพาผู้ป่วยกลับไปพบแพทย์ก่อนนัดทันที
สำหรับตัวผู้ป่วยเองก็ต้องปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด คือ
ห้ามเสพสารเสพติด ห้ามดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
แม้อาการดีขึ้นแล้วต้องกินยาต่อเนื่องจนครบตามแผนรักษา
ห้ามหยุดยาหรือลดยาเองอย่างเด็ดขาด
เนื่องจากจะทำให้อาการกลับมาเป็นซ้ำอย่างรวดเร็ว
ทั้งนี้ ในการป้องกันหรือลดความเสี่ยงป่วยเป็นโรคนี้
ประชาชนควรออกกำลังกายเป็นประจำ ครั้งละไม่ต่ำกว่า 30 นาที
อย่างน้อยสัปดาห์ละ 3 วัน ซึ่งมี ผลดีทำให้สมองหลั่งสารแห่งความสุข หรือสาร
เอนโดรฟิน จะช่วยให้ร่างกายผ่อนคลายความเครียด และหลับสนิทขึ้น
ที่มา : ข่าวสด