Home »
Uncategories »
ไทยผลิต “สเปรย์พ่น” บรรเทารักษามะเร็ง สำเร็จแล้ว!
ไทยผลิต “สเปรย์พ่น” บรรเทารักษามะเร็ง สำเร็จแล้ว!
คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต
ผลิตสเปรย์พ่นบรรเทารักษามะเร็งสำเร็จแล้ว โดยได้นำสเปรย์
บรรเทารักษาอาการเจ็บปวดและอาเจียรจากการรักษาทางเคมีบำบัด
สำหรับผู้ป่วยโรคมะเร็งได้สำเร็จ
ขณะนี้กำลังอยู่ระหว่างขอจดทะเบียน อย.ให้ใช้สำหรับผู้ป่วยได้ต่อไป
ด้านอธิการบดี ม.รังสิต จี้ อย.รับรองและสนับสนุน
เพื่อปลดแอกจากอิทธิพลบริษัทยาข้ามชาติ
เมื่อวันที่ 1 เมษายน 2561 ที่ผ่านมา ดร.อาทิตย์ อุไรรัตน์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยรังสิต โพสต์ข้อความทางเฟซบุ๊ก Arthit Ourairat ว่า
“หลังจากที่ได้เรียนว่า คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต
ได้วิจัยและผลิตสเปรย์พ่นสำเร็จแล้ว เป็นแห่งแรกในประเทศไทย
เพื่อรักษาบรรเทาอาการเจ็บปวดจากโรคมะเร็งและรักษาอาการอาเจียน
และผลข้างเคียงจากการรักษาด้วยเคมีบำบัด
แต่ยังอยู่ในระหว่างขอขึ้นทะเบียนกับ อย. ได้มีผู้สนใจ สอบถามและประสงค์จะขอเพื่อไปรักษาบรรเทาอาการโรคมะเร็งมามากมาย หลายหมื่นราย
มหาวิทยาลัยรังสิตเห็นใจผู้ป่วยและญาติมิตรเป็นอย่างยิ่ง
อยากจะช่วยบรรเทาความเจ็บปวดให้ แต่ยังไม่สามารถทำได้ เพราะ อย.
ยังไม่อนุมัติ จะด้วยเหตุผลใดก็ตาม และกำลังพยายามอย่างที่สุดที่จะขอให้
อย. กล้าที่จะอนุมัติให้ขึ้นทะเบียนได้
ทั้งนี้ก็เข้าใจว่า ไทยเรายังไม่เคยมีการคิดค้นวิจัยอะไรใหม่ๆได้
และไม่ค่อยเชื่ออะไรในคนไทย คอยแต่ตามฝรั่งต่างชาติอยู่ตลอดเวลา
คอยลอกเลียนแบบเขา คอยซื้อจากเขา จึงต้องเป็นทาสเขามาตลอด
ไม่มีความมั่นใจในตัวเองเสมอ ซึ่งเป็นลักษณะประจำชาติไทย
และหลังจากตำรับแรกนี้แล้ว
มหาวิทยาลัยรังสิตกำลังวิจัยผลิตตำหรับที่สอง. เป็นเม็ดอมและวางบนลิ้น
เพื่อบรรเทารักษาอาการเจ็บปวดและอาเจียนเช่นเดียวกับตำรับแรก
จะสำเร็จในระยะเวลาไม่นานนัก
และที่จะถือเป็นความสำเร็จและข่าวดีที่สุดสำหรับผู้ป่วยมะเร็งทั้งหลายซึ่งมีมากมายหลายล้านคน
คือตำรับที่ 3 ที่เป็นกัญชารักษาโรคมะเร็งได้โดยตรง
โดยนักวิจัยคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต ซึ่งเป็นนักวิจัยคนเดียวในประเทศไทย จะสำเร็จในเวลา 3 เดือนข้างหน้านี้
สำคัญอยู่ที่ว่า อย. จะเห็นใจ จะกล้าสนับสนุนหรือไม่ หรือจะโดนอิทธิพลบริษัทยาข้ามชาติกดดัน ควบคุมหรือไม่
ก็ต้องอยู่ที่ประชาชนคนไทยจะมีพลังช่วยกันกดดันให้รัฐบาลไทย
นักกฎหมายไทย กล้าปลดแอก ปกป้องเอกราชอธิปไตยของไทย
ผลประโยชน์สุขของประชาชนชาวไทยและสุวรรณภูมิเพียงใดหรือไม่”
แหล่งที่มา thaitribune