พระเขี้ยวแก้วองค์จริง แค่ได้เห็นก็เป็นบุญตาที่สุดแล้ว

พระเขี้ยวแก้ว หรือ พระทาฐธาตุ คือพระทันตธาตุส่วนที่เป็นเขี้ยวของพระโคตมพุทธเจ้า ซึ่งตามลักขณสูตรในพระไตรปิฎกภาษาบาลี ได้กล่าวถึงมหาปุริสลักขณะ 32 ประการ มีข้อความตอนหนึ่งกล่าวถึง ลักษณะของพระทาฐะหรือเขี้ยวของบุคคลผู้มีลักษณะแห่งมหาบุรุษว่า “เขี้ยวพระทนต์ทั้งสี่งามบริสุทธิ์”

ปีหนึ่งทางวัดหลิงกวงจะเปิดให้เข้าสักการะพระเขี้ยวแก้ว ในเจดีย์ได้ปีล่ะ 2 วัน ที่เหลือจากนั้น ก็ได้แต่เดินเวียนรอบเจดีย์เอาเป็นพุทธบูชา

คราวที่อัญเชิญมาประดิษฐานอยู่ที่พุทธมณฑลสาย 4 ก็ชมไม่ถนัดตา มาวันนี้ได้เห็นภาพชัดๆ เป็นบุญตา เสียที ว่ารูปลักษณะสัณฐานของพระเขี้ยวแก้วเป็นอย่างไรกันแน่ เพราะเคยมีคนบอกว่า พระเขี้ยวแก้วองค์จริงจะสอดอยู่ในกลักงาช้าง

สำหรับเขี้ยวแก้วนั้นจะมีทั้งหมด 4 องค์ ตามลักขณสูตรได้กล่าวไว้

“ล้วนแต่ขาวงามบริสุทธิ์ “

องค์ที่ 1 พระเขี้ยวบนขวา ท้าวสหัสนัยน์ อัญเชิญขึ้นประดิษฐาน ไว้ที่พระจุฬามณีเจดีย์ บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์

องค์ที่ 2 พระเขี้ยวต่ำขวา ปัจจุบันประดิษฐานอยู่ที่วัดพระเขี้ยวแก้ว ประเทศศรีลังกา

องค์ที่ 3 พระเขี้ยวต่ำซ้าย หายสาบสูญไปกับสายน้ำ

องค์ที่ 4 พระเขี้ยวบนซ้าย ปัจจุบันประดิษฐานอยู่วัดหลิงกวง กรุงปักกิ่ง ประเทศจีน

สำหรับพระเขี้ยวแก้วที่ประเทศจีน เขาจะนิยมเรียกว่า “พระทันตธาตุฟาเหียน” เพราะพระภิกษุฟาเหียนเป็นผู้อัญเชิญมา

พระเขี้ยวแก้วองค์นี้ แต่เดิมประดิษฐานอยู่ที่อาณาจักรอูไดยานา ปัจจุบันอยู่ในเขตของประเทศปากีสถาน หลังจากนั้นก็ย้ายมาอยู่ที่แคว้นโคตัน ในคริสต์ศตวรรษ ที่ 5 พระภิกษุฟาเหียนอัญเชิญเอามาจากเมืองโคตัน ประดิษฐานไว้ที่นานกิง เมืองหลวงของราชวงศ์จี๋

หลังจากนั้น ประเทศจีนก็รวมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันในสมัยราชวงศ์ซุ่ย พระเขี้ยวแก้วก็เลยย้ายไปประดิษฐานอยู่ที่เมืองฉางอัน ต่อมาจีนก็รบกันเอง ช่วงนี้มีถึง 5 ราชวงศ์ ในแผ่นดินเดียว ก็ย้ายไปย้ายมาจนสุดท้ายก็ได้ไปประดิษฐานอยู่ในเจดีย์เจาเซียนบนภูเขาเมืองปักกิ่งในสมัยราชวงศ์เหลียว หลังจากนั้นก็เงียบหายไป นานถึง 830 ปี

จนถึงปี พ.ศ. 2443 ยุคสมัยราชวงศ์ชิง เจดีย์เจาเซียนถูกปืนใหญ่ของฝ่ายพันธมิตรชาติตะวันตกทำลาย พระภิกษุที่อยู่ภายในวัดได้มาทำความสะอาดจึงได้พบพระเขี้ยวแก้วอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งบรรจุอยู่ในหีบศิลาภายในห้องใต้ดินขององค์เจดีย์อีกครั้ง

ภายในหีบศิลาพบตลับไม้กฤษณาอีกชั้นหนึ่ง บนตลับนั้นระบุว่า ถูกนำมายัง ณ สถานที่นี้ในปี พ.ศ. 1506 โดยพระภิกษุชื่อซ่านฮุย ในยุคราชวงศ์ซ่ง
ด้านข้างและด้านในกล่องนั้น เป็นลายมือของหลวงจีนซ่านฮุย แล้วในตลับนั้นก็พบพระเขี้ยวแก้ว อยู่ด้านบน

ในปี พ.ศ.2498 ทางพุทธ สมาคมแห่งประเทศจีน จึงได้อัญเชิญออกมาให้ประชาชนสักการชั่วคราวที่ วัดกวงจี่ รอเวลาสร้างสร้างเจดีย์ที่วัดหลิงกวงเสร็จ จนถึงวันที่ 15 มิถุนายน 2507 จึงมีพิธีบรรจุพระบรมธาตุพระเขี้ยวแก้วในพระมหาเจดีย์ไว้เป็นการถาวร

สำหรับพระภิกษุฟาเหียนนั้น เป็นสมณะจีนรูปแรก ที่เดินทางไปศึกษา ค้นหาคัมภีร์พระพุทธศาสนาที่อินเดีย เมื่อปี พ.ศ.942

สาเหตุเพราะทนเห็นความประพฤติของพระภิกษุมหายานไม่ลงรอยกันไม่ได้ ต่างฝ่ายต่างก็อ้างว่าตนปฎิบัติได้ถูกต้อง เมื่อไม่มีใครตัดสิน ถูกหรือผิดได้ ท่านจึงได้ออกเดินทางไปสืบหาต้นฉบับคัมภีร์พระพุทธศาสนาที่ถูกต้อง

พระภิกษุฟาเหียนเดินทางไปที่เมืองปาตลีบุตร พักอยู่ที่สังฆาราม 3 ปี ที่นี้

ได้พบคัมภีร์วินัยหมวดมหาสังคีติ และได้คัดลอกพระวินัยประมาณ 7,000 คาถา ซึ่งเป็นวินัยของฝ่ายสรวาสติวาท

ได้คัมภีร์สังยุตตอภิธัมมหทัย เป็นหนังสือประมาณ 6,000 คาถา

ได้พระสูตรอีกหมวดหนึ่งประมาณ 2,500 คาถา ได้คัมภีร์ปรินิพพานสูตร และคัมภีร์อภิธรรม

ต่อมาพระภิกษุฟาเหียนก็ไปที่เมืองสาวัตถี ก็ได้พระไตรปิฎกของฝ่ายเถรวาท พบซุกซ่อนอยู่ในเจดีย์สุวรรโณทยาน มีข้อความร้อยกรองเป็นหมวดหมู่ไว้ตั้งแต่สังคายนาครั้งแรก

ออกจากสาวัตถีเสร็จ พระภิกษุฟาเหียนก็เดินทางไปที่แคว้นจัมปา แล้วก็พักคัดลอกคัมภีร์พระสูตร ภาษาสันสกฤตของฝ่ายมหายานอยู่ 2 ปี แล้วเดินทางต่อไปที่เกาะลังกาคัดลอกเอาคัมภีร์ที่ต้องการอีก 2 ปี

ที่มหินตเล พระภิกษุฟาเหียนได้คัมภีร์พระวินัยปิฎกฉบับขอฝ่ายมหิสาสกะ ได้คัมภีร์ทีฆนิกาย สังยุตนิกาย และคัมภีร์ปกรณ์วิเสส

ต่อมาเมื่อเดินทางกลับถึงจีน พระจักรพรรดิก็ตั้งกองนักปราชญ์พุทธศาสนามหายานขึ้น แล้วให้รวบรวมคัมภีร์ต่างๆ ทั้งหมดที่นำมาจากอินเดีย รวมเป็นพระไตรปิฎกฉบับมหายานจีน

ขอบพระคุณแหล่งที่มา : ร้อยเรื่องราว ไปกับ เจ้าคุณปราบสุราพินาศ