Home »
Uncategories »
ผู้เขียนเป็นวิศวกรชาวไทยที่ทำงานในสหรัฐ เขียนสาเหตุที่ค่ายหัวเว่ยโดนแบน
ผู้เขียนเป็นวิศวกรชาวไทยที่ทำงานในสหรัฐ เขียนสาเหตุที่ค่ายหัวเว่ยโดนแบน
ผู้เขียนเป็นวิศวกรชาวไทยที่ทำงานใน Silicon Valley ในสหรัฐ เขียนเรื่องประวัติของหัวเหว่ยไว้ดีมากครับ แนะนำ
“ ส ง ค ร า มมสหรัฐ ฯ กับ Huawei, การพยายามก้าวเป็นผู้นำโลกด้านเทค และปัญหาละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา”
ถึงแม้ส่วนตัวจะไม่ค่อยชอบทรัมป์
จะบอกว่าเกลียดเลยก็คงได้ แต่จะว่าไปเราก็ค่อนข้างเห็นด้วยหน่อย ๆ
กับการตัดสินใจของสหรัฐ ฯ ที่ แ บ นHuawei และยกเป็นปัญหาระดับชาติ
ในมุมของคนทั่วไปอาจจะรู้สึกว่าสหรัฐ
ฯ กีดกันจีนทางการค้าและกลัวว่าจะโดนจีนแซง แต่ถ้ามามองในมุม “ความแฟร์”
โดยละเอียดแล้วหละก็ ภาพหลาย ๆ อย่างในหัวอาจเปลี่ยนไปได้เลย
จริงอยู่ที่สหรัฐ
ฯ กลัวจีนแซงด้านเทคโนโลยี เพราะจีนวางแผนจะแซงสหรัฐ ฯ จริง ๆ
แต่ที่น่ากลัวคือ “Huawei
ที่แบคด้วยรัฐบาลจีนกลับเลือกทำโดยไม่เลือกวิธีการ” และวิธีที่ Huawei
ใช้มานานแล้วก็จะไปในทางจีนคือ “ละเมิดทรัพย์สินทางปัญหาและขโมยมาเลย”
ในมาตรฐานสากล
“ทรัพย์สินทางปัญญา” ถือเป็นเรื่องใหญ่
เพราะกว่าแต่ละคนจะคิดผลิตอะไรขึ้นมาได้ก็ล้วนต้องลงทุนมากมายมหาศาล
สุดท้ายใครจะใช้งานที่เกี่ยวข้องกับทรัพย์สินทางปัญญานั้น
ก็ต้องจ่ายเงินค่า License ไป ถ้าไม่อยากใช้ก็หาทางพัฒนาของตัวเองขึ้นมา
เลือกเอาว่าจะไปทางไหน
แต่พอเป็นจีน มาตรฐานกลับเป็นอีกแบบนึงคือ ละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาและเอามาใช้เลย ไม่จ่ายค่า License ด้วย จับได้ค่อยมาฟ้องทีหลังนะ
ช่วงที่ผ่านมาเราเห็น Huawei เติบโตและผู้คนชื่นชมว่าทำโน่นทำนี่ได้เยอะจังเก่งจัง แต่หารู้ไม่ว่าหลายอย่างนั้น “ถูกขโมยมาขาย”
กรณีแรก
ๆ คงย้อนไปปี 2003 ที่ Huawei ไป “แฮค” Source Code ของ Cisco
แล้วเอามาใส่ใน Router ของตัวเองขายตัดราคา นั่นเป็นจุดเริ่มต้นที่ Huawei
เริ่มโดนจับตามองจากสหรัฐ ฯ (เคสนี้ถือว่าวิธีการเลวร้ายมาก)
ปี 2007 หัวเว่ยจ่ายเงินให้พนักงาน Motorola เพื่อซื้อข้อมูลลับของบริษัทและเอามาทำเป็นโปรดักส์ของตัวเอง เกิดเป็นคดีใหญ่โตในปี 2010
ปี
2012 Huawei พยายามขโมยข้อมูลสำคัญของการผลิต Tappy
หุ่นยนต์ทดสอบมือถือของ T-Mobile โดยละเมิดข้อห้ามมากมาย รวมถึงให้พนักงาน
Huawei USA ที่ได้รับอนุญาตเข้าไปใช้งาน Tappy แอบถ่ายรูปส่งกลับไปจีนให้
Huawei China
ปี 2014
หัวเว่ยให้นักประดิษฐ์ชาวโปรตุเกสบินมานำเสนอ “กล้อง 360 แบบเสียบมือถือ”
ที่กำลังอยู่ในระหว่างการจด Patent อยู่ให้กับทีมงาน ปรากฎหลังจากผ่าน
Meeting ไปก็ไม่เคยได้รับการติดต่อกลับจาก Huawei อีกเลย จนกระทั่งปี 2017
หัวเว่ยก็เปิดตัวกล้อง Envizion 360
ที่เหมือนกับผลงานที่นักประดิษฐ์คนนี้นำไปเสนอทุกกระเบียดนิ้ว
ยังคงเป็นคดีความอยู่ในตอนนี้
ต้นปีที่ผ่านมา
Huawei โดนฟ้องจากเยอรมันคดีเอา MPEG ไปใช้โดยซึ่ง ๆ ทั้ง ๆ ที่มันมีค่า
License ซึ่งก็จบลงด้วยดีด้วยการที่เดือนถัดไป Huawei ก็เข้าร่วม MPEG LA
ยอมจ่ายค่า License เป็นที่เรียบร้อย
หากประเมินแล้ว
สหรัฐ ฯ เสียหายถึงประมาณปีละ “$600B”
ในส่วนที่จีนละเมิดไปและขายสินค้าโดยไม่ยอมจ่ายค่าลิขสิทธิ์
เงินเข้าจีนแบบสบาย ๆ ส่วนเจ้าของทรัพย์สินทางปัญญากลับไม่ได้อะไร
ถ้ามองเรื่องการกีดกันแล้ว
เคสที่กำลังดังอยู่ตอนนี้คนจะมองไปว่าสหรัฐ ฯ
กีดกันเทคโนโลยีจีนไม่ให้ถูกใช้ในประเทศ
แต่สิ่งหนึ่งที่คนกลับไม่ได้มองย้อนกลับไปคือ จริง ๆ
จีนก็กีดกันไม่ให้เทคโนโลยีสหรัฐ ฯ อย่าง Google หรือ Facebook
เข้าไปทำธุรกิจเช่นกัน
มันก็ไม่แฟร์นะที่จีนจะออกมาทำธุรกิจข้างนอกได้(ด้วยการละเมิดคนอื่นด้วย) แต่ก็ไม่ให้คนอื่นไปทำธุรกิจในประเทศ แบนมาแบนกลับไม่โกง
ความจริงหลายบริษัททั่วโลกก็มีปัญหาละเมิดทรัพย์สินทางปัญญากันทั้งนั้นรวมถึง
Apple, Google, Samsung เอง ก็มีคดีความ Patent War ให้เห็นมาโดยตลอด
แต่วิธีการละเมิดก็ยังไม่น่าเกลียดเหมือนที่ Huawei ทำมา
เรื่องราวที่ผ่านมา
วิธีการที่ Huawei ใช้ รวมถึงความสัมพันธ์อันดีระหว่างผู้ก่อตั้ง Huawei
และผู้นำรัฐบาลจีน ทำให้ Huawei ถูกเพ่งเล็งโดยสหรัฐ ฯ มาโดยตลอด สหรัฐ ฯ
รู้สึกไม่แฟร์ว่าเทคโนโลยีที่ประเทศตนทำขึ้นมา
รวมถึงเทคโนโลยีที่ประเทศตนต้องจ่ายเพื่อสร้างนวัตกรรมใหม่ ๆ ขึ้น
กลับถูกขโมยโดยประเทศจีนเพื่อเป็นทางลัดก้าวนำสหรัฐ ฯ
แต่ที่ผ่านมา
Huawei ยังไม่ได้โดดเด่นอะไรขนาดทุกวันนี้ สหรัฐ ฯ ก็เลยปล่อยไว้
มีปัญหาค่อยทำเป็นคดีทีนึง แต่ล่าสุด Huawei
กำลังเปลี่ยนจากผู้ขโมยเป็นผู้สร้างโดยมีพระเอกหลักคือ “5G” ที่ Huawei
มีส่วนเป็นอย่างมากในการสร้างมาตรฐานเทคโนโลยีนี้ขึ้นมา ซึ่ง 5G
ถือเป็นเรื่องใหญ่มากเพราะเป็น Infrastructure ระดับประเทศ
หากใครถือครองตรงนี้ไปก็คือถือครองข้อมูลระดับประเทศได้เลย
และนี่เป็นเหตุผลที่
Huawei จึงถูกจับจ้องหนักขึ้น สหรัฐ ฯ พยายามเจรจาเพื่อ Settle ทุกอย่าง
แต่ก็ไม่เป็นผล จนทำให้สหรัฐ ฯ ประกาศ แ บ นHuawei ในที่สุด ซึ่งเอาจริง ๆ
มันคือการประกาศ ส ง ค ร า มมการค้ากับจีนไม่ใช่ Huawei เพราะนาทีนี้
Huawei ค่อนข้าง Represent จีนเยอะมากและกำลังโตจนน่ากังวล (หมายเหตุ:
หากนับมูลค่าที่ละเมิด US Patent เป็น % นี่จีนประเทศเดียวคือราว ๆ 50-80%
เลย)
นาทีนี้การ แ บ นHuawei
โดยสหรัฐ ฯ และชาติต่าง ๆ จึงไม่ได้เป็นเรื่องตรงไปตรงมา
ถือว่าค่อนข้างยุ่งเหยิงมาก ทั้งเรื่องการละเมิด การกลัวจีนแซง ความปลอดภัย
ฯลฯ ไม่ใช่เรื่องเหตุและผลข้อสองข้อ
แต่เป็นเรื่องที่ก่อมานานแล้วและเพิ่งจะระเบิดออกมาในช่วงนี้
การละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาเริ่มเป็นเกมที่ซับซ้อนขึ้นเมื่อตอนนี้
Huawei เริ่มถือครอง Patent มากขึ้นเรื่อย ๆ
ทั้งจากการกว้านซื้อบริษัทและการคิดค้นของใหม่ขึ้นมาเอง
ล่าสุดก็เริ่มฟ้องคนอื่นเรื่องละเมิด Patent ตัวเองบ้างแล้ว แต่ก็ยังไม่มาก
เพราะว่า Patent ส่วนใหญ่ของ Huawei ไม่ใช่ของใหม่
แต่เป็นการพัฒนาขึ้นจากอย่างอื่นมากกว่า ก็เลยยังไม่มีมูลค่ามาก
แต่ก็น่าจะมีมากขึ้นเรื่อย ๆ ตามเวลา
การ
แ บ นHuawei นี้ถามว่ามีใครเจ็บบ้าง บอกเลยว่าเจ็บหมดทั้งเมกาและจีน
หุ้นทั่วโลกคงร่วงระนาวอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ธุรกิจคงฝืดเคือง
สินค้าคงแพงขึ้น
แต่อย่างไรก็ตาม
หากมองในมุมสหรัฐ ฯ ก็คงต้องยอมว่า “มันคือสิ่งจำเป็น”
และถึงแม้ดูจะทำให้หลายสิ่งดูแย่ลง
แต่ในระยะยาวคนที่ได้ประโยชน์มากกว่าคือสหรัฐ ฯ
เพราะที่ผ่านมาจีนเอาเปรียบสหรัฐ ฯ ไปมากแล้ว
การตัดตอนนี้ไปอาจจะส่งผลลบชั่วคราว แต่ยาว ๆ จีนคือเจ็บกว่ามาก
ถึงเทคโนโลยีหลายอย่างจีนจะนำสหรัฐ ฯ ไปแล้ว
แต่ส่วนใหญ่ก็เป็นเทคโนโลยีที่ต่อยอดจากของประเทศอื่นทั้งนั้น (ยกเว้น 5G)
ก็โดนตัดให้โดดเดี่ยวนี่ก็เหมือนเสือไร้เขี้ยว
น่าเกรงขามแต่ทำอะไรไม่ได้เลย
อย่างล่าสุดการตัด
ARM ไม่ให้ทำธุรกิจกับจีนนี่เป็นไม้ที่เจ็บมากจริง ๆ หลาย ๆ อย่างลอกได้
แต่ CPU Architecture เป็นสิ่งที่ลอกไม่ได้เลยจริง ๆ
นี่คือการตัดน้ำตัดไฟเลยก็ว่าได้ ตอนนี้จีนก็เหลือแต่ MIPS ซึ่งไม่มีทางสู้
ARM ได้
อาจจะเจ็บมากจนทำให้จีนกลับมาพิจารณาอะไรเพิ่มเติมก็เป็นได้
ไม่งั้นแผนการ “Made in China 2025” ที่จีนประกาศออกมาอาจจะไม่เป็นอย่างที่จีนฝันก็เป็นได้
ขอบคุณแหล่งที่มา : FB nuuneoi