สูตรที่คนขายไม่เคยบอก เปลี่ยน กุ้งสด ให้เป็น กุ้งแก้ว ตัวอวบๆ แสนกรอบอร่อย

สูตรที่คนขายไม่เคยบอก เปลี่ยน กุ้งสด ให้เป็น กุ้งแก้ว ตัวอวบๆ แสนกรอบอร่อย เคยสงสัยกันหรือไม่ว่าทำไม กุ้ง ในร้านชาบูหรือร้านสุกี้ที่เราไปกิน มันถึงอวบๆใสๆ ดูสดและน่ากินยิ่งพอนำไปลวกจิ้มกับน้ำจิ้มก็ยิ่งอร่อยฟินเข้าไปใหญ่ แต่ทำไมเวลาต้มกุ้งอยู่ที่บ้านไม่เห็นจะใสๆแบบนั้นบ้างเลย

แต่รู้หรือเปล่าว่าจริงๆแล้วตามร้านเขามี สูตรกุ้งแก้ว แถมทำง่ายมากๆ เลย มีวิธีการทำกุ้งขาวๆใสๆ แบบที่ร้านชาบูมาฝากกันค่ะ แค่ทำตามนี้รับรองว่าได้กินกุ้งเหมือนที่ร้านแน่นอนแถมเป็นการถนอมอาหารเก็บไว้ได้นานขึ้นอีกด้วย จะเป็นอย่างไรนั้นไปชมพร้อมๆกันเลย

สิ่งที่ต้องเตรียม

กุ้งสด หาซื้อที่ตลาดสดได้ทั่วๆ ไปเลยนะคะ

เกลือ แนะนำเป็นเกลือเม็ดจะดีกว่านะคะ หรือใครไม่สะดวกหาเกลือป่นมาก็ได้

น้ำแข็ง แนะนำให้เป็นน้ำแข็งหลอดเล็ก หรือน้ำแข็งป่นนะคะ

วิธีทำ กุ้งแก้ว

ทำการแกะเปลือกกุ้ง และเด็ดหัวกุ้งหรือถุงขี้กุ้งออก (ถุงดำๆ บนหัวกุ้ง) เพราะในส่วนหัวของกุ้งจะมีถุงขี้กุ้งอยู่ ซึ่งจะทำให้ตัวเอ็นไซม์กุ้ง ออกมาย่อยสลายเนื้อกุ้งโดยธรรมชาติของมัน ซึ่งถ้าเราซื้อกุ้งสดมาถ้ายังไม่ได้นำไปประกอบอาหารอะไร ควรเด็ดหัวกุ้งหรือถุงขี้กุ้ง นั้นออกเสียก่อน เพื่อให้กุ้งยังคงความสดอยู่ได้เพิ่มขึ้น จากปกติ

นำกุ้งไปคลุกเคล้ากับเกลือ คลุกเคล้าให้เข้ากัน และล้างออกด้วยน้ำเย็น นำไปคลุกเกลือเพราะจะทำให้กุ้งเก็บน้ำไว้ในตัวได้ดียิ่งขึ้นนั้นเอง เนื่องจากถ้ากุ้งเก็บน้ำไว้ในตัวน้อยเท่าไรก็จะทำให้ เนื้อกุ้ง ยิ่งแห้งมากขึ้นเท่านั้น

นำกุ้ง ที่ล้างน้ำแล้ว มาแช่ไว้ในน้ำที่ใส่เกลือผสมอยู่ (ใส่น้ำให้พอมิดตัวกุ้ง) แล้วนำน้ำแข็งมาโปะไว้ด้านบน รอจนน้ำแข็งละลาย

เพียงเท่านี้ก็เป็นอันเสร็จ ขั้นตอนการทำ กุ้งแก้ว แล้ว ถ้าใครยังไม่ต้องการนำไปประกอบอาหารในตอนนี้ก็นำไปใส่ถุงแล้วนำไปแช่ในช่องแช่แข็งหรือช่องฟรีซตู้เย็นได้เลย เมื่อต้องการทำมาประกอบอาหาร ก็เพียงแช่ในน้ำรอจนกุ้งละลาย ก็นำมาประกอบอาหารได้เลย และการนำกุ้งแก้วนี้ไปประกอบอาหาร มีข้อแม้อยู่ว่า ควรจะผ่านการปรุงสุกในระยะเวลาอันสั้นจะดีที่สุดค่ะ

เรียกว่าเป็นสูตรที่ทำง่ายมากๆ ใครที่อยากจะกินกุ้งเด้งๆก็ลองไปทำกันดูนะคะ รับรองได้ฟินเหมือนกินอยู่ที่ร้าน นอกจากนี้หากซื้อกุ้งมาเยอะแล้วกลัวจะกินไม่ทัน ก็สามารถใช้วิธีทำกุ้งแก้วเพื่อถนอมกุ้งไว้ได้ จากนั้นก็แช่ช่องฟรีซไว้ สดอยู่ได้เป็นเดือนเชียวล่ะจ้าาา

ขอบคุณข้อมูลจาก food mthai