พบคนถูกไฟฟ้าช็อตทำอย่างไรดี
มาดูวิธีช่วยเหลือเบื้องต้นที่สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติแนะนำไว้
พร้อมโทรแจ้งขอความช่วยเหลือทางการแพทย์ผ่านสายด่วน 1669
ช่วงนี้เข้าฤดูฝนแล้ว จึงเกิดพายุและลมกระโชกแรงสร้างความเสียหายให้หลายพื้นที่ แต่อีกหนึ่งอันตรายที่ต้องระวังให้มากก็คือ อันตรายจากไฟฟ้า ทั้งไฟดูด ไฟรั่ว และไฟช็อต ที่มีโอกาสทำให้เกิดความสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สินได้ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน
ด้วยเหตุนี้ นพ.อนุชา เศรษฐเสถียร
เลขาธิการสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ (สพฉ.)
จึงให้คำแนะนำในการป้องกันอันตรายจากกระแสไฟฟ้า ดังนี้
- แต่ละบ้านควรตรวจสอบก่อนว่าภายในบ้านไม่มีกระแสไฟฟ้ารั่วหรือไม่ โดยวิธีการตรวจสอบง่าย ๆ คือ ให้ปิดเครื่องใช้ไฟฟ้าทุกชนิด แล้วดูที่มิเตอร์ว่าแผ่นจานในมิเตอร์หมุนหรือไม่ หากหมุนอยู่ก็แสดงว่าไฟฟ้าในบ้านรั่วจะต้องรีบแก้ไขโดยเร็ว
- ตรวจสอบเครื่องตัดไฟ ให้พร้อมใช้งานอยู่เสมอ
อย่างไรก็ตาม หากประสบเหตุถูกกระแสไฟฟ้าช็อต อาการจะรุนแรงเพียงใดขึ้นอยู่กับปริมาณของกระแสไฟฟ้าที่ช็อต โดยบางครั้งอาจเพียงแค่ทำให้ล้มลงกับพื้น หรืออาจถึงขั้นรุนแรงคือมีอาการชักเกร็งของกล้ามเนื้อทั่วร่างกาย หายใจเร็ว หมดสติ และหยุดหายใจหรือหัวใจเต้นผิดจังหวะซึ่งอาจอันตรายถึงชีวิต นอกจากนี้อาจทำให้เกิดบาดแผลไหม้ตรงผิวหนังและกินลึกเข้าไปในเนื้อเยื่อบริเวณใกล้เคียง
สำหรับวิธีปฐมพยาบาลและช่วยเหลือผู้ประสบเหตุเบื้องต้น คือ
1. ผู้ที่เข้าช่วยเหลือจะต้องตั้งสติ
2. หากพบผู้ป่วยฉุกเฉินจะต้องโทรแจ้งขอความช่วยเหลือทางการแพทย์ผ่านสายด่วน 1669
3. จำไว้เสมอว่าห้ามสัมผัสตัวผู้ถูกไฟช็อตด้วยมือเปล่าเด็ดขาด ควรใช้วัสดุที่ไม่เป็นตัวนำไฟฟ้าป้องกันตัวก่อน เช่น ถุงมือยาง ผ้าแห้ง พลาสติกแห้ง เป็นต้น
4. ต้องตัดกระแสไฟในที่เกิดเหตุทันที ยกเว้นเป็นสายไฟแรงสูง ควรแจ้งเจ้าหน้าที่เพื่อความปลอดภัย
5. จากนั้นให้เคลื่อนย้ายผู้ป่วยไปในพื้นที่ปลอดภัย เพราะบางครั้งสถานที่ที่ถูกไฟช็อตอาจอยู่ใกล้ป้ายโฆษณา หรือต้นไม้ขนาดใหญ่ ซึ่งอาจทำให้เกิดอันตรายซ้ำได้ โดยต้องเคลื่อนย้ายอย่างถูกวิธีด้วย เพราะบางครั้งการเคลื่อนย้ายอาจทำให้ผู้ป่วยได้รับบาดเจ็บมากขึ้น
ส่วนผู้ป่วยที่ได้รับบาดเจ็บจากไฟบ้านทั่วไป และมีเพียงบาดแผลไม่ลึก ไม่มีอาการผิดปกติอื่น สามารถสังเกตอาการที่บ้านได้ ยกเว้น ผู้ได้รับบาดเจ็บเป็นเด็กเล็ก ผู้สูงอายุ หรือผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัวบางชนิด เช่น โรคไต โรคหัวใจ ควรนำส่งโรงพยาบาลเพื่อให้แพทย์ประเมินอาการอีกครั้ง
ส่วนผู้ป่วยที่หมดสติ จะต้องพิจารณาว่าผู้ป่วยมีภาวะหัวใจหยุดเต้นหรือหยุดหายใจหรือไม่ หากหยุดหายใจจะต้องรีบทำการช่วยเหลือฟื้นคืนชีพ (CPR) ทันที
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
ช่วงนี้เข้าฤดูฝนแล้ว จึงเกิดพายุและลมกระโชกแรงสร้างความเสียหายให้หลายพื้นที่ แต่อีกหนึ่งอันตรายที่ต้องระวังให้มากก็คือ อันตรายจากไฟฟ้า ทั้งไฟดูด ไฟรั่ว และไฟช็อต ที่มีโอกาสทำให้เกิดความสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สินได้ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน
- แต่ละบ้านควรตรวจสอบก่อนว่าภายในบ้านไม่มีกระแสไฟฟ้ารั่วหรือไม่ โดยวิธีการตรวจสอบง่าย ๆ คือ ให้ปิดเครื่องใช้ไฟฟ้าทุกชนิด แล้วดูที่มิเตอร์ว่าแผ่นจานในมิเตอร์หมุนหรือไม่ หากหมุนอยู่ก็แสดงว่าไฟฟ้าในบ้านรั่วจะต้องรีบแก้ไขโดยเร็ว
- ตรวจสอบเครื่องตัดไฟ ให้พร้อมใช้งานอยู่เสมอ
อย่างไรก็ตาม หากประสบเหตุถูกกระแสไฟฟ้าช็อต อาการจะรุนแรงเพียงใดขึ้นอยู่กับปริมาณของกระแสไฟฟ้าที่ช็อต โดยบางครั้งอาจเพียงแค่ทำให้ล้มลงกับพื้น หรืออาจถึงขั้นรุนแรงคือมีอาการชักเกร็งของกล้ามเนื้อทั่วร่างกาย หายใจเร็ว หมดสติ และหยุดหายใจหรือหัวใจเต้นผิดจังหวะซึ่งอาจอันตรายถึงชีวิต นอกจากนี้อาจทำให้เกิดบาดแผลไหม้ตรงผิวหนังและกินลึกเข้าไปในเนื้อเยื่อบริเวณใกล้เคียง
สำหรับวิธีปฐมพยาบาลและช่วยเหลือผู้ประสบเหตุเบื้องต้น คือ
1. ผู้ที่เข้าช่วยเหลือจะต้องตั้งสติ
2. หากพบผู้ป่วยฉุกเฉินจะต้องโทรแจ้งขอความช่วยเหลือทางการแพทย์ผ่านสายด่วน 1669
3. จำไว้เสมอว่าห้ามสัมผัสตัวผู้ถูกไฟช็อตด้วยมือเปล่าเด็ดขาด ควรใช้วัสดุที่ไม่เป็นตัวนำไฟฟ้าป้องกันตัวก่อน เช่น ถุงมือยาง ผ้าแห้ง พลาสติกแห้ง เป็นต้น
4. ต้องตัดกระแสไฟในที่เกิดเหตุทันที ยกเว้นเป็นสายไฟแรงสูง ควรแจ้งเจ้าหน้าที่เพื่อความปลอดภัย
5. จากนั้นให้เคลื่อนย้ายผู้ป่วยไปในพื้นที่ปลอดภัย เพราะบางครั้งสถานที่ที่ถูกไฟช็อตอาจอยู่ใกล้ป้ายโฆษณา หรือต้นไม้ขนาดใหญ่ ซึ่งอาจทำให้เกิดอันตรายซ้ำได้ โดยต้องเคลื่อนย้ายอย่างถูกวิธีด้วย เพราะบางครั้งการเคลื่อนย้ายอาจทำให้ผู้ป่วยได้รับบาดเจ็บมากขึ้น
ส่วนผู้ป่วยที่ได้รับบาดเจ็บจากไฟบ้านทั่วไป และมีเพียงบาดแผลไม่ลึก ไม่มีอาการผิดปกติอื่น สามารถสังเกตอาการที่บ้านได้ ยกเว้น ผู้ได้รับบาดเจ็บเป็นเด็กเล็ก ผู้สูงอายุ หรือผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัวบางชนิด เช่น โรคไต โรคหัวใจ ควรนำส่งโรงพยาบาลเพื่อให้แพทย์ประเมินอาการอีกครั้ง
ส่วนผู้ป่วยที่หมดสติ จะต้องพิจารณาว่าผู้ป่วยมีภาวะหัวใจหยุดเต้นหรือหยุดหายใจหรือไม่ หากหยุดหายใจจะต้องรีบทำการช่วยเหลือฟื้นคืนชีพ (CPR) ทันที
ขอขอบคุณข้อมูลจาก