Edit ผลการวิจัยระบุว่า “ดมตด” ช่วยให้สุขภาพดี เพียงแค่ดมวันละนิด ถ้าพูดถึงการผายลมหรือการตดเราก็ต้องนึกถึงกลิ่นและเสียงที่ต้องออกตามมา ซึ่งยังไงก็แล้วแต่มันต้องเป็นกลิ่นที่ไม่พึ่งประสงค์อย่างแน่นอน แต่ทราบกันไหมว่ามีผลการวิจัยที่เป็นหลักฐานจากมหาวิทยาลัยเอ็กซ์เตอร์ ประเทศอังกฤษ ระบุว่า การดมตดเพียงวันละนิดจะมีส่วนช่วยให้เรามีสุขภาพดี ไม่น่าเชื่อเลยใช่ไหมล่ะ แต่ในผลการวิจัยเขาบอกมาแบบนี้ การที่เราได้สัมผัสก๊าซไฮโดรเจนซัลไฟด์ที่เป็นสารที่เกิดจากการย่อยอาหารของแบคทีเรีย ทำให้เกิดกลิ่นค่อนข้างรุนแรง แต่มันมีประโยชน์ในการช่วยป้องกันการเกิดโรคได้หลายชนิด กันเลยนะจ๊ะ ไม่ใช่เพียงเท่านั้นเพราะผลการวิจัยนี้ไม่ได้อยู่แต่ในห้องวิจัยมันยังถูกเผยแพร่ผ่านนิตยาสาร Medicinal Chemistry Communications ว่ากลิ่นตดอาจเป็นกุญแจที่ช่วยให้เราบรรเทาโรคต่างๆ ได้ อาทิโรคต่อไปนี้ โรคระยะสุดท้าย, โรคสมองตีบ, โรคหัวใจ, โรคไขข้อ, ภาวะสมองเสื่อม เพราะเจ้ากลิ่นนี้มีผลในการปกป้องไมโตคอนเดรีย (mitochondria) หรือแหล่งพลังงานของเซลล์ แต่มีข้อแม้อยู่อย่างก็คือ ศาสตราจารย์ แม็ต ไวต์แมน ได้บอกว่าจะได้ผลดีต้องใช้ในปริมาณไม่มาก หรือก็คือดมเพียงนิดเดียวพอ ดมเยอะเกินอาจสลบหรือเป็นลมกันได้เลยทีเดียว นอกจากนี้เจ้าก๊าซไฮโดรเจนซัลไฟด์จะมีประโยชน์และมีผลดีต่อสุขภาพก็ต่อเมื่อมันต้องผลิตมาจากภายในร่างกายเท่านั้น ไม่ใช่ได้มาจากกลิ่นภายนอกอีกด้วย เราคงต้องดมตดกันแบบใกล้สุดๆ เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับการ “ตด” 1. ทราบไหมว่าตด 1 วัน เท่ากับเราเป่าลูกโป่ง 1 ลูก นักโภชนาการยังบอกอีกว่าสาร Sorbitol ในอาหารที่พบมากในหมากฝรั่ง จะสร้างก๊าซในร่างกายมากขึ้น ดังนั้นถ้าจะเคี้ยวหมากฝรั่งอย่าลืมอ่านฉลากและเลือกแบบที่มี Sorbitol รวมไปถึงการกินอาหารที่อุ่นซ้ำๆ ก็จะช่วยให้ร่างกายมีก๊าซมากยิ่งขึ้น และทำให้เราตดได้ดี โดยร่างกายของคนเราจะปล่อยแก๊สออกมา 0.5-1 ลิตร/วัน ประมาณ 10 ครั้ง/วัน หรือก็คือตดของเราเท่ากับก๊าซในลูกโป่งได้ 1 ลูกนั่นเอง 2. ผู้เชี่ยวชาญระดับโลกกล่าวถึงเรื่อง “ตด” ดร.ไมเคิล เลวิตต์ (Dr. Michael Levitt) แห่ง Veterans Administration Medical Center ประเทศสหรัฐอเมริกา เป็นผู้ที่คิดว่า “ตด” มีความสำคัญและน่าสนใจ จึงทุ่มเทวิจัยมานานกว่า 30 ปีแล้ว ที่สำคัญยังเขียนเป็นบทความลงในวารสารและหนังสือพิมพ์อีกมากมาย ด้วยเหตุนี้นักวิชาการทั่วโลกต่างยอมรับว่า ดร.ไมเคิล เลวิตต์ คือ ผู้เชี่ยวชาญเรื่องตดระดับโลก 3. “ตด” มีความสำคัญต่อ NASA นะ ทำไมนะหรอ เพราะอาหารของนักบินอวกาศส่งผ่านการตดมาแล้วทั้งสิ้น ซึ่งนักบินอวกาศจะขับออกมาในภายหลัง อีกทั้งนักบินอวกาศของสหรัฐฯ ต้องอาศัยอยู่ภายในบริเวณพื้นที่จำกัด และค่อนข้างคับแคบเป็นเวลานานๆ NASA จึงคิดว่าบรรยากาศบนยานต้องปราศจากกลิ่น จึงมีการควบคุมการผลิตอาหารของนักบิน 4. มาทำความรู้จักกางกางในดับกลิ่นตดกัน ปกติเรามักจะได้ยินแค่ลูกอมระงับกลิ่นปาก หรือโรคออนระงับกลิ่นกาย แต่ทราบกันไหมว่ามีการผลิตกางเกงในระงับกลิ่นตดขึ้นมาอีกด้วย ผู้ที่คิดค้นเรื่องนี้ได้แก่ ดร.ไมเคิล เลวิตต์ แห่ง Veterans Administration Medical Center จากสหรัฐอเมริกา เขาได้ทำการเสริมแผ่นสอดด้านในของกางเกงใน(inside pads) ที่ช่วยในการกักเก็บกลิ่นเอาไว้ ซึ่งเขายังบอกได้ว่าสามารถเก็บกลิ่นได้ถึง 55-77% เลยทีเดียว พูดง่ายๆ ถ้ากลิ่นตดคุณไม่แรงมากภายนอกอาจจะไม่ได้กลิ่นอะไรเลยนั่นเอง ก็จัดว่าโอเคอยู่เหมือนกันนะ และปัจจุบันผลิตภัณฑ์ที่ว่านี้ในญี่ปุ่นอย่าง บริษัท SEREN CO.,LTD. ซึ่งเป็นบริษัทสิ่งทอได้ผลิตจากการคิดค้นพัฒนาประสิทธิภาพกางเกงดับกลิ่นตดให้ได้อย่างทันท่วงที โดย นามิ โยชิดะ (Yoshida Nami) โฆษกประจำบริษัทกล่าวว่า เบื้องต้นมุ่งเน้นกลุ่มเป้าหมายไปที่ศูนย์ดูแลผู้สูงอายุ และโรงพยาบาลต่างๆ เป็นอันดับแรก ทว่ากลับได้รับความนิยมจากบรรดานักธุรกิจที่ต้องติดต่องานสำคัญกับผู้บริหารหลากหลายระดับ โดยกางเกงในที่ว่านี้ ผลิตมาจากเส้นใยเซรามิค สามารถดูดซับกลิ่นได้ชะงัดและเคลือบด้วยกลิ่นหอมจางๆ โดยจุดเริ่มต้นของการพัฒนากางเกงกำจัดกลิ่น นั่นคือ กลุ่มแพทย์ต้องการลดปัญหากลิ่นไม่พึงประสงค์ของผู้ป่วยโรคลำไส้ 5. ทราบกันไหมว่าแมงก็ยังตด ในบ้านเราคงรู้จักแมงตดเป็นอย่างดี มีชื่อสามัญว่า Bombardier Beetles ชื่อวิทยาศาสตร์ Pherosophus (Phylum: Arthropoda) แมงตด เป็นแมลงในตระกูลเดียวกับด้วงดิน มีปีกแข็ง ในบ้านเราพบอยู่เพียง 2 สายพันธุ์ คือ Pherosophus Javanus และ Pherosophus Occipitalis ตดที่ปล่อยออกมาจะมีพิษ เพราะสร้างขึ้นมาเพื่อป้องกันตัวเอง 6. รัฐมนตรีแห่งเกาหลีใต้ ให้ความสำคัญกับ “ตด” เป็นอย่างมาก โดยนายคิม ยอง กวาน (Kim Young-hwan) รัฐมนตรีกระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ ของเกาหลีใต้ ได้เขียนหนังสือเล่มหนึ่ง ใช้ชื่อว่า Does a Fart Cath Fire? แปลเป็นไทยได้ว่า ตดติดไฟได้ จริงหรือ? ออกวางจำหน่าย จุดประสงค์หลักของหนังสือเล่มนี้เพื่อให้เด็กในเกาหลีใต้หันมาสนใจวิทยาศาสตร์มากขึ้น และรู้สึกว่าวิทยาศาสตร์เป็นเรื่องสนุก ไม่ใช่เรื่องไกลตัวอย่างที่คิด และเกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันอย่างไร และก็พูดได้ว่าหนังสือเล่มนี้ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก ทำยอดขายในเกาหลีใต้จนติดอันดับหนังสือขายดี 7. ในบางประเทศมีการกฎหมาย “ห้ามตด” ฟังแล้วคงเป็นเรื่องตลกใครจะห้ามการตดกันได้อย่างไร แต่ที่มลรัฐฟลอริดา ประเทศสหรัฐอเมริกา มีการออกกฎหมายห้ามตดในที่สาธารณะหลัง 6 โมงเย็น และในประเทศมาลาวี โดย นายจอร์จ ชาพอนด้า รัฐมนตรีว่าการยุติธรรมและรัฐธรรมนูญแห่งมาลาวี (ปี ค.ศ.2011) ก็เคยมีการพิจารณาข้อเสนอ ห้ามตดในที่สาธารณะเช่นเดียวกัน โดยท่านรัฐมนตรีกล่าวว่า คนเรารู้สึกว่าตัวเองได้รับอิสระการตดในที่สาธารณะมาเป็นเวลานานมากแล้ว และมันก็ส่งกลิ่นรบกวนคนรอบข้างได้ไม่น้อย”ถึงแม้การตดจะเป็นเรื่องธรรมชาติก็จริง แต่เป็นสิ่งที่เราสามารถควบคุมได้ ซึ่งรัฐมนตรีชาพอนด้าให้เหตุผลว่า “คนเราสามารถปฎิบัติกันได้ง่ายๆ เพียงแค่เดินไปเข้าห้องน้ำทุกครั้ง เมื่อรู้สึกว่าตนเองกำลังจะตดก็เท่านั้นเอง” 8. การตดของสกั๊งค์ สกั๊งค์ เป็นสัตว์ที่ได้ชื่อว่ามีกลิ่นเหม็นที่สุดในโลก และนี่เองที่เป็นเกาะป้องกันตัวของมัน เพื่อให้สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ ไม่เช่นนั้นทุกวันนี้เราอาจจะไม่มีโอกาสได้เห็นตัวสกั๊งค์กันแล้วก็เป็นได้ โดยธรรมชาติของสกั๊งค์ เมื่อเจอกับศัตรูมันจะชูหางเพื่อเป็นการหยั่งเชิง.. แต่จะยังไม่ตด ถ้าหยั่งเชิงแล้วศัตรูตัวนั้นยังไม่ถอยหนี หรือตรงกันข้าม กลับรุกรานมากกว่าเดิม ทีนี้มันก็จะปล่อยตดออกมาทันที ซึ่งในตดนี้จะมีของเหลวเป็นพิษชนิดพิเศษที่ชื่อว่า บิวทิล เมอร์แคปเทน ซึ่งแพร่กลิ่นได้ไกลเป็นกิโล ถ้าศัตรูตัวนั้นเผลอโดนเข้าไป นอกจากจะเหม็นและแสบร้อน โชคร้ายอาจถึงขั้นตาบอดได้เลยทีเดียว ไม่ธรรมดาจริงๆ 10 เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับการ “ตด” ทราบกันไหมว่าคนเราสามารถผายลมได้เฉลี่ย 10-20 ครั้งต่อวัน เยอะมากเลยนะ ซึ่งถ้าคุณผายลมมากกว่าน้อยกว่านี้แสดงว่าต้องมีความผิดปกติเกิดขึ้น แต่ถึงจะผิดปกติก็มีทั้งแบบที่ไม่เป็นอันตรายและเป็นอันตรายต่อสุขภาพไปพร้อมๆ กัน 1. ซึ่งในแต่ละวันถ้าเราบริโภค เนื้อสัตว์ ไข่ นม ถั่ว ชีส กระหล่ำปลี หัวหอม เครื่องดื่มแอลกอฮอล์และน้ำอัดลมจะทำให้เกิดแก๊สในร่างกายมากเกินไป 2. อาหารที่มีปริมาณก๊าซซัลเฟตสูง เช่น บร็อคโคลี่ ดอกกะหล่ำ กะหล่ำปลี ทำให้ตดมีกลิ่นเหม็น สารประกอบพวกซัลเฟอร์ที่อยู่ในเนื้อสัตว์ และผลิตภัณฑ์จากนม ก็ทำให้เกิดกลิ่นได้เช่นเดียวกัน 3. การเคี้ยวอาหารไม่ละเอียด ทำให้อาหารย่อยไม่หมด จะทำให้ท้องอืด และมีแก๊สมากขึ้นในลำไส้จากการที่มีแบคทีเรียมาช่วยย่อย ก็จะทำให้ผายลมมากขึ้นได้ 4. สุขภาพของฟัน เช่น ผู้สูงอายุที่ฟันไม่ดีทำให้เคี้ยวอาหารไม่ละเอียด พูดมากหรือเคี้ยวหมากฝรั่ง ทำให้ต้องกลืนลมเข้าท้องในปริมาณมาก 5. การขาดหรือการพร่องเอนไซม์ หรือน้ำย่อยแลคเตส เมื่อเรารับประทานอาหารที่มีน้ำตาลแลคโตสเป็นส่วนประกอบ เช่น นม โยเกิร์ต และผลิตภัณฑ์จากนม น้ำตาลที่ไม่ถูกดูดซึมนี้ จะถูกแบคทีเรียในลำไส้ใหญ่ทำปฏิกิริยาการหมัก (Fermentation) ทำให้เกิดก๊าซจำนวนมากในลำไส้ 6. แพ้กลูเตนกลูเตนเป็นไกลโคโปรตีนที่พบได้ในข้าวสาลี ข้าวบาร์เลย์ และข้าวโพด ปัจจุบันเราใช้กลูเตนเป็นส่วนผสมในขนมปัง ช่วยให้ขนมปังเหนียวนุ่ม น่ารับประทาน รวมทั้งในข้าวโอ๊ต เค้ก พาย ซีเรียล และใช้แทนเนื้อสัตว์ในอาหารเจ อาการแพ้จะเช่นเดียวกับการแพ้นม อาจมีอาการท้องอืด มีก๊าซในกระเพาะ และท้องเสีย 7. ลำไส้แปรปรวน มักมีอาการปวดท้องเกร็ง รู้สึกเหมือนมีลมในท้อง เรอ ผายลมบ่อย 8. การผายลม ร่วมกับมีอาการแน่น ปวดท้อง อาจเป็นเพราะอาหารไม่ย่อย ซึ่งมีสาเหตุ เช่น กระเพาะอาหารอักเสบ เป็นต้น 9. ผายลมบ่อย ร่วมกับน้ำหนักลด อุจจาระผิดปกติ ท้องผูก หรือท้องเสีย โลหิตจาง ให้ระวังโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ 10. ถ้าคุณมีอาหารปวดท้อง แต่ไม่ถ่ายและไม่ได้ผายลม อาจเกิดปัญหาลำไส้อุดตัน ควรไปพบแพทย์ ขอบคุณที่มา petmaya ,สุปรีดี จันทะดี