เผยเรื่องราวชวนซึ้งใจ เด็กชายวัย 14 บริจาคอวัยวะหลังถูกรถชนสมองตาย
ส่งต่อความหวังอีก 7 ชีวิต พร้อมเปิดใจคุณแม่และคุณยาย
ต่อการตัดสินใจดังกล่าวหลังการสูญเสีย
นับเป็นเรื่องที่ยากจะทำใจอย่างยิ่งสำหรับคนเป็นบุพการี เมื่อต้องทนเห็นลูกที่รักได้รับบาดเจ็บ ตกอยู่ในสภาวะสมองตาย ร่างกายไร้การตอบสนองภายหลังประสบอุบัติเหตุ แต่เมื่อเส้นทางชีวิตของลูกเดินมาถึงจุดสุดท้าย สิ่งที่ผู้เป็นแม่จะทำได้ก็คือการตัดสินใจส่งต่อแสงแห่งชีวิตสู่คนอื่น ๆ ด้วยการบริจาคอวัยวะ ของลูกชาย อุทิศร่างกายของลูกเพื่อช่วยเพื่อนมนุษย์ที่นอนรอความหวังอยู่อีก 7 ชีวิต จนกลายเป็นเรื่องราวซาบซึ้งใจที่แชร์ต่อกันบนโลกออนไลน์
โดยวานนี้ (26 มีนาคม 2560) ทางเฟซบุ๊ก เรารักแปดริ้ว Welove8riew.com ได้มีรายงานและเผยบทสัมภาษณ์จากใจคุณแม่และคุณยายของ ด.ช.สมเดช สมเดช
ฆ้องน้อย หรือ น้องบิว วัย 14 ปี ฮีโร่บนสวรรค์ ผู้บริจาคอวัยวะ หัวใจ ดวงตา
ตับ ไต ให้อีก 7 ชีวิต โดยคุณแม่เปิดเผยว่า
ในวันที่เกิดอุบัติเหตุนั้นตนกับลูกขี่รถมอเตอร์ไซค์ตามกันมาเพื่อที่จะกลับบ้าน
จนกระทั่งมาถึงทางสามแพร่งใกล้วัดสวรรค์นิมิต
ก็มีรถมอเตอร์ไซค์อีกคันพุ่งออกมาจากทางโค้ง
ปะทะเข้ากับรถของลูกชายต่อหน้าต่อตาเธอ
จากนั้นก็ได้ส่งตัวน้องบิวเข้ารักษาที่โรงพยาบาลพุทธโสธร ซึ่งในตอนนั้นแพทย์พบว่าน้องบิวมีโอกาสรอดเพียง 50-50 กระทั่งอีก 7 วันต่อมาน้องก็เสียชีวิต อย่างไรก็ตามเนื่องจากแพทย์ผู้ทำการรักษาเห็นว่าน้องมีภาวะสมองตาย แต่อวัยวะอื่น ๆ ยังสมบูรณ์ จึงได้เข้ามาปรึกษากับทางครอบครัวว่าจะบริจาคอวัยวะของน้องให้สภากาชาดหรือไม่ เพราะยังคงมีคนอื่นที่รอการปลูกถ่ายอวัยวะอยู่
เมื่อได้ทราบเช่นนั้น คุณแม่จึงตอบไปว่าสิ่งไหนที่ช่วยได้ก็อยากช่วย ขณะที่คุณยายของน้องยังกลัวว่าน้องจะเจ็บปวดตอนผ่า แต่คุณแม่ก็ได้ปลอบว่าน้องไม่เจ็บปวดแล้ว เขาไปแล้ว หากนำร่างกายน้องไปเผาก็ไม่ได้มีประโยชน์อะไร อยากช่วยเหลือคนที่เขายังรออยู่ สิ่งใดที่ใช้ได้เป็นประโยชน์ต่อคนอื่นก็ให้เขาไปเถอะ
ภายหลังจากที่คุณยายยินยอม คุณแม่ก็เดินไปหาน้องบิวที่เตียง และบอกกับลูกว่า "ขออวัยวะของลูกนะ เอาไปบริจาคให้คนอื่นต่อ" จากนั้นปรากฏว่าชีพจรของน้องก็ค่อย ๆ อ่อนลงและสิ้นสุดในที่สุด จากไปอย่างสงบ
เมื่อได้รับความยินยอมจากครอบครัว ทางแพทย์โรงพยาบาลพุทธโสธรจึงรีบได้ประสานไปยังโรงพยาบาลศิริราชให้ส่งเจ้าหน้าที่มาเก็บดวงตา หัวใจ ตับ และไต ของน้องเพื่อนำไปช่วยเหลือคนที่ยังรอเปลี่ยนถ่ายอวัยวะอยู่อีก 7 คน นับเป็นการต่อลมหายใจให้กับผู้อื่นซึ่งนับเป็นกุศลครั้งใหญ่
ทั้งนี้ตัวคุณแม่ของน้องบิว ยังได้อยากฝากถึงคนที่ได้รับบริจาคอวัยวะไปด้วยว่า ขอให้เก็บรักษาอวัยวะที่ปลูกถ่ายให้ดี ๆ เพราะนี่คือสิ่งสุดท้ายที่น้องบิวได้มอบให้
ภาพและข้อมูลจาก เรารักแปดริ้ว Welove8riew.com, รายการทุบโต๊ะข่าว
นับเป็นเรื่องที่ยากจะทำใจอย่างยิ่งสำหรับคนเป็นบุพการี เมื่อต้องทนเห็นลูกที่รักได้รับบาดเจ็บ ตกอยู่ในสภาวะสมองตาย ร่างกายไร้การตอบสนองภายหลังประสบอุบัติเหตุ แต่เมื่อเส้นทางชีวิตของลูกเดินมาถึงจุดสุดท้าย สิ่งที่ผู้เป็นแม่จะทำได้ก็คือการตัดสินใจส่งต่อแสงแห่งชีวิตสู่คนอื่น ๆ ด้วยการบริจาคอวัยวะ ของลูกชาย อุทิศร่างกายของลูกเพื่อช่วยเพื่อนมนุษย์ที่นอนรอความหวังอยู่อีก 7 ชีวิต จนกลายเป็นเรื่องราวซาบซึ้งใจที่แชร์ต่อกันบนโลกออนไลน์
จากนั้นก็ได้ส่งตัวน้องบิวเข้ารักษาที่โรงพยาบาลพุทธโสธร ซึ่งในตอนนั้นแพทย์พบว่าน้องบิวมีโอกาสรอดเพียง 50-50 กระทั่งอีก 7 วันต่อมาน้องก็เสียชีวิต อย่างไรก็ตามเนื่องจากแพทย์ผู้ทำการรักษาเห็นว่าน้องมีภาวะสมองตาย แต่อวัยวะอื่น ๆ ยังสมบูรณ์ จึงได้เข้ามาปรึกษากับทางครอบครัวว่าจะบริจาคอวัยวะของน้องให้สภากาชาดหรือไม่ เพราะยังคงมีคนอื่นที่รอการปลูกถ่ายอวัยวะอยู่
เมื่อได้ทราบเช่นนั้น คุณแม่จึงตอบไปว่าสิ่งไหนที่ช่วยได้ก็อยากช่วย ขณะที่คุณยายของน้องยังกลัวว่าน้องจะเจ็บปวดตอนผ่า แต่คุณแม่ก็ได้ปลอบว่าน้องไม่เจ็บปวดแล้ว เขาไปแล้ว หากนำร่างกายน้องไปเผาก็ไม่ได้มีประโยชน์อะไร อยากช่วยเหลือคนที่เขายังรออยู่ สิ่งใดที่ใช้ได้เป็นประโยชน์ต่อคนอื่นก็ให้เขาไปเถอะ
ภายหลังจากที่คุณยายยินยอม คุณแม่ก็เดินไปหาน้องบิวที่เตียง และบอกกับลูกว่า "ขออวัยวะของลูกนะ เอาไปบริจาคให้คนอื่นต่อ" จากนั้นปรากฏว่าชีพจรของน้องก็ค่อย ๆ อ่อนลงและสิ้นสุดในที่สุด จากไปอย่างสงบ
เมื่อได้รับความยินยอมจากครอบครัว ทางแพทย์โรงพยาบาลพุทธโสธรจึงรีบได้ประสานไปยังโรงพยาบาลศิริราชให้ส่งเจ้าหน้าที่มาเก็บดวงตา หัวใจ ตับ และไต ของน้องเพื่อนำไปช่วยเหลือคนที่ยังรอเปลี่ยนถ่ายอวัยวะอยู่อีก 7 คน นับเป็นการต่อลมหายใจให้กับผู้อื่นซึ่งนับเป็นกุศลครั้งใหญ่
ทั้งนี้ตัวคุณแม่ของน้องบิว ยังได้อยากฝากถึงคนที่ได้รับบริจาคอวัยวะไปด้วยว่า ขอให้เก็บรักษาอวัยวะที่ปลูกถ่ายให้ดี ๆ เพราะนี่คือสิ่งสุดท้ายที่น้องบิวได้มอบให้
ภาพและข้อมูลจาก เรารักแปดริ้ว Welove8riew.com, รายการทุบโต๊ะข่าว