ชีวิตคนเราเลือกเกิดไม่ได้!! “หนุ่มใหญ่” เป็นโรคเรื้อน
ต้องพาลูกเมียเข้าไปอยู่ในป่าช้า พร้อมเล่าสาเหตุทั้งน้ำตา
ที่ฟังแล้วต้องสงสารสุดๆ
เรื่องราวนี้ถูกเปิดเผยจากชาวบ้านรายหนึ่ง ในต.บ้านเต่า อ.บ้านแท่น จ.ชัยภูมิ แจ้งว่า พบครอบครัวหนุ่มใหญ่วัย 58 ปี มีชีวิตอยู่อย่างสุดสลด ต้องพาครอบครัวตัวเอง 3 คนพ่อแม่ลูกชาย ที่ปัจจุบันวัยเพียง 8 ขวบ ออกจากหมู่บ้านมาอาศัยในป่าช้า
ซึ่งหนุ่มใหญ่รายนี้ป่วยเป็นโรคเรื้อน และภรรยามีอาชีพรับจ้างทั่วไป และมีบุตรชายวัย 8 ขวบ ที่ในปัจจุบันทั้งสามต้องพากันมาอาศัยนอนในกระท่อมไม้มุงสังกะสี ครึ่งปูนชั้นเดียว สภาพเก่าทรุดโทรม ไม่มิดชิด หลังคามีรูรั่ว ยามฝนตกก็มีน้ำหยดลงมาเต็มบ้าน รวมทั้งห้องน้ำไม่ถูกสุขลักษณะ ไม่มีน้ำประปาใช้ อาศัยน้ำฝนดื่มกิน อาบน้ำในบ่อหลังบ้านที่มีสีขุ่นและกลิ่นเหม็น
หนุ่มใหญ่รายนี้มีชื่อว่า นายไชยยงค์ สวมใส่เสื้อและกางเกงขายาวปกปิดผิวหนังตนเองอย่างมิดชิด เเละได้เปิดเผยว่า ตนเองป่วยเป็นโรคเรื้อน แพ้แสงแดดรุนแรง เกาจนผิวหนังเป็นก้อนแข็งไปทั่วตัว พอจะออกจากบ้านต้องสวมหมวก ใส่เสื้อผ้าปิดบังตัวเองมิดชิด เพราะกลัวเพื่อนบ้านรังเกียจ โดยมีนางถาวร อายุ 50 ปี ภรรยา และเด็กชายบี วัย 8 ขวบ นั่งดูแลอยู่ใกล้ๆ
โรคผิวหนังที่นายไชยยงค์เป็นอยู่ขณะนี้ มีลักษณะเป็นตุ่ม ปูดโปนขึ้นตั้งแต่ฝ่าเท้าลามขึ้นมาจนถึงทั่วตัว ส่วนที่แขนก็มีตั้งแต่หลังมือลามขึ้นไปถึงหัวไหล่ ลำคอ ศีรษะ ใบหน้า รวมถึงบริเวณหน้าอก กลางหลัง ก็พบรอยเต็มไปหมด
ซึ่งนายไชยยงค์ ป่วยด้วยโรคดังกล่าวมานานกว่า 5 ปีแล้ว คนในหมู่บ้านแสดงท่าทางรังเกียจ ตนจึงพาครอบครัวหลบออกมา สร้างบ้านเป็นกระท่อม พยายามไปพบหมอที่โรงพยาบาลอำเภอบ้านแท่น และต้องหาเงินซื้อยามาทาบรรเทาอาการคัน เมื่อช่วง 2 ปีที่ผ่านมา มีอาการหนักมาก หมอให้ยามากินและทาก็ไม่ทุเลา แต่กลับลามมากขึ้นเรื่อยๆ และยิ่งคันมากขึ้น โดยเฉพาะเวลากลางคืนทรมานจนแทบไม่ได้นอน ต้องให้ภรรยาช่วยเกาจนกว่าจะหลับ บางครั้งขนาดเกาจนเลือดออกก็ไม่รู้สึกเจ็บ แต่คันมากกว่า จนเป็นที่รังเกียจของชาวบ้านไปทั่ว
อย่างไรก็ตาม ล่าสุดทางด้านนายเจริญ ชำนาญพล กำนันตำบลบ้านเต่า ได้ทราบเรื่องนี้และได้พยายามประสานสาธารณสุขอำเภอและประสานไปทางโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลฯ แล้ว และจะเร่งหาทางช่วยเหลือครอบครัวนี้ รวมถึงทำความเข้าใจกับชาวบ้าน ที่เข้าใจผิด
เรื่องราวนี้ถูกเปิดเผยจากชาวบ้านรายหนึ่ง ในต.บ้านเต่า อ.บ้านแท่น จ.ชัยภูมิ แจ้งว่า พบครอบครัวหนุ่มใหญ่วัย 58 ปี มีชีวิตอยู่อย่างสุดสลด ต้องพาครอบครัวตัวเอง 3 คนพ่อแม่ลูกชาย ที่ปัจจุบันวัยเพียง 8 ขวบ ออกจากหมู่บ้านมาอาศัยในป่าช้า
ซึ่งหนุ่มใหญ่รายนี้ป่วยเป็นโรคเรื้อน และภรรยามีอาชีพรับจ้างทั่วไป และมีบุตรชายวัย 8 ขวบ ที่ในปัจจุบันทั้งสามต้องพากันมาอาศัยนอนในกระท่อมไม้มุงสังกะสี ครึ่งปูนชั้นเดียว สภาพเก่าทรุดโทรม ไม่มิดชิด หลังคามีรูรั่ว ยามฝนตกก็มีน้ำหยดลงมาเต็มบ้าน รวมทั้งห้องน้ำไม่ถูกสุขลักษณะ ไม่มีน้ำประปาใช้ อาศัยน้ำฝนดื่มกิน อาบน้ำในบ่อหลังบ้านที่มีสีขุ่นและกลิ่นเหม็น
หนุ่มใหญ่รายนี้มีชื่อว่า นายไชยยงค์ สวมใส่เสื้อและกางเกงขายาวปกปิดผิวหนังตนเองอย่างมิดชิด เเละได้เปิดเผยว่า ตนเองป่วยเป็นโรคเรื้อน แพ้แสงแดดรุนแรง เกาจนผิวหนังเป็นก้อนแข็งไปทั่วตัว พอจะออกจากบ้านต้องสวมหมวก ใส่เสื้อผ้าปิดบังตัวเองมิดชิด เพราะกลัวเพื่อนบ้านรังเกียจ โดยมีนางถาวร อายุ 50 ปี ภรรยา และเด็กชายบี วัย 8 ขวบ นั่งดูแลอยู่ใกล้ๆ
โรคผิวหนังที่นายไชยยงค์เป็นอยู่ขณะนี้ มีลักษณะเป็นตุ่ม ปูดโปนขึ้นตั้งแต่ฝ่าเท้าลามขึ้นมาจนถึงทั่วตัว ส่วนที่แขนก็มีตั้งแต่หลังมือลามขึ้นไปถึงหัวไหล่ ลำคอ ศีรษะ ใบหน้า รวมถึงบริเวณหน้าอก กลางหลัง ก็พบรอยเต็มไปหมด
ซึ่งนายไชยยงค์ ป่วยด้วยโรคดังกล่าวมานานกว่า 5 ปีแล้ว คนในหมู่บ้านแสดงท่าทางรังเกียจ ตนจึงพาครอบครัวหลบออกมา สร้างบ้านเป็นกระท่อม พยายามไปพบหมอที่โรงพยาบาลอำเภอบ้านแท่น และต้องหาเงินซื้อยามาทาบรรเทาอาการคัน เมื่อช่วง 2 ปีที่ผ่านมา มีอาการหนักมาก หมอให้ยามากินและทาก็ไม่ทุเลา แต่กลับลามมากขึ้นเรื่อยๆ และยิ่งคันมากขึ้น โดยเฉพาะเวลากลางคืนทรมานจนแทบไม่ได้นอน ต้องให้ภรรยาช่วยเกาจนกว่าจะหลับ บางครั้งขนาดเกาจนเลือดออกก็ไม่รู้สึกเจ็บ แต่คันมากกว่า จนเป็นที่รังเกียจของชาวบ้านไปทั่ว
เวลาจะออกจากบ้านไปวัดในหมู่บ้าน
หรือไปทำธุระนอกบ้าน ต้องใส่เสื้อผ้า ถุงมือ ถุงเท้า ใส่หมวก
เพื่อไม่ให้ใครเห็น ซึ่งตนเองก็ไม่มีปัญญาที่จะรักษาตนเองได้
เพราะมีรายได้จากเพียงเงินผู้สูงอายุเดือนละ 800 บาทเท่านั้น
แต่ก็ยังมีภรรยาที่ทำหน้าที่เป็นเสาหลักของครอบครัว โดยรับจ้างอาชีพทั่วไป
นายไชยยงค์ กล่าวต่อว่า
ตนเองรู้สึกสงสารลูกชายเป็นอย่างมาก ที่ต้องมาโดนเพื่อนๆ
ที่โรงเรียนล้อจนร้องไห้หนีกลับบ้านมาบ่อยครั้ง
และไม่อยากให้ใครมารังเกียจลูกชายตนเอง เพราะเขาไม่ได้เป็นโรคร้ายอย่างไรก็ตาม ล่าสุดทางด้านนายเจริญ ชำนาญพล กำนันตำบลบ้านเต่า ได้ทราบเรื่องนี้และได้พยายามประสานสาธารณสุขอำเภอและประสานไปทางโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลฯ แล้ว และจะเร่งหาทางช่วยเหลือครอบครัวนี้ รวมถึงทำความเข้าใจกับชาวบ้าน ที่เข้าใจผิด