“รัฐบาล” จัดให้! อนุมัติ “สงกรานต์” ปีนี้อนุญาต
“เอาถังน้ำขึ้นท้ายรถกระบะได้” แต่ยังมีข้อแม้อีกอย่างที่ทุกคนต้องทำ
ไม่งั้นโดนจับแถมปรับหนัก !?
เมื่อวันที่ 24 มีนาคม พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี พร้อมผู้บริหารหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยมีพล.ต.ท.วิทยา ประยงค์พันธ์ ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พล.ต.ต.สมชาย เกาสำราญ ผู้บังคับการตำรวจทางหลวง นายกอบชัย บุญอรณะ รองอธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณะภัย พ.ต.อ.ทินกร ณัฏฐมั่งคั่ง รองผู้บังคับการตำรวจจราจร และนายสนิท พรหมวงษ์ อธิบดีกรมการขนส่งทางบก ได้ร่วมแถลงข่าว กรณีของรายละเอียดใน ม.44 ฉบับที่ 14/2560 เรื่อง มาตรการเพิ่มประสิทธิภาพการบังคับใช้กฎหมายว่าด้วยการจราจรทางบก
พล.ต.ท.วิทยา เผยว่า ม. 44 ที่ออกมาจะมีเรื่องของการห้ามจอดรถในที่ห้ามจอดด้วย ซึ่งในเรื่องนี้ทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติขอเวลาไปกำหนดรายละเอียดเกี่ยวกับการดำเนินการ รวมถึงค่าปรับต่างๆก่อน จึงจะเริ่มดำเนินการจับปรับอย่างจริงจังต่อไป ส่วนเรื่องของการบังคับให้คบขับ รวมถึงผู้โดยสารรถยนต์ส่วนบุคคลและรถโดยสารสาธารณะต้องคาดเข็มขัดนิรภัยนั้น ในระหว่างวันที่ 21 มีนาคม -4 เมษายน 2560 นี้ ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะเร่งทำการประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนได้รับทราบเกี่ยวกับคำสั่งตามมาตรา 44 ที่ออกมา หากพบเห็นผู้กระทำความผิดทางเจ้าหน้าที่พบเห็นจะเป็นการแจ้งเตือนก่อน ยังไม่มีการจับปรับตามกฎหมาย แต่ในวันที่ 5 เมษายน เป็นต้นไป จะไม่มีการแจ้งเตือนจากทางเจ้าหน้าที่ตำรวจอีกต่อไป เพราะจะดำเนินการจับปรับตามกฎหมายทันที เพราะถือว่าได้มีการแจ้งเตือนไปแล้ว
สำหรับรถโดยสารสาธารณะนั้น ไม่ว่าจะเป็นรถแท็กซี่ รถตู้ หรือรถทัวร์ จะต้องแจ้งเตือนให้ผู้โดยสารรัดเข็มขัดนิรภัยก่อนรถออกด้วย หรือจะต้องมีการติดป้ายแจ้งเตือนให้ผู้โดยสารรัดเข็มขัดนิรภัยตลอดการเดินทาง หากคนขับรถแจ้งแล้วผู้โดยสารไม่ปฏิบัติตาม หรือปฏิบัติตามแล้ว ระหว่างทางปลดออก หากเจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจพบก็จะต้องถูกปรับทั้งคนขับ และผู้โดยสาร ยกเว้นว่าทางคนขับได้ยืนยันแล้วว่าบอกให้ผู้โดยสารคาดเข็มขัดนิรภัยแล้ว แต่ผู้โดยสารไม่ยอมคาด ทางคนขับจึงจะไม่ถูกปรับ และจะปรับเฉพาะผู้โดยสาร โดยทางเจ้าหน้าที่ตำรวจจะดูที่เจตนาเป็นหลัก ส่วนรถโดยสารสองแถว และรถสามล้อเครื่อง(ตุ๊กตุ๊ก)จะไม่มีการบังคับให้รัดเข็มขัด แต่จะมีมาตรการอื่นออกมาบังคับใช้เพื่อความปลอดภัยแทน เช่น การติดตั้งราวกั้นเพิ่มเติมเพื่อความปลอดภัย และการบังคับลดความเร็ว เป็นต้น
ทางด้านของนายสนิท กล่าวว่า สำหรับอัตราค่าปรับของผู้ที่ไม่รัดเข็มขัดนิรภัยนั้น หากเป็นไปตามกฎหมายของกรมการขนส่งทางบก ซึ่งเป็นอำนาจของเจ้าหน้าของกรมการขนส่งทางบก ทางผู้ประกอบการจะต้องถูกปรับ 5 หมื่นบาท คนขับและผู้โดยสารปรับ 5 พันบาท แต่หากเป็นกฎหมายตาม พ.ร.บ.จราจร ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ตำรวจรับผิดชอบ รถโดยสารสาธารณะจะถูกปรับ 1 พันบาท ส่วนรถยนต์ส่วนบุคคลปรับ 500 บาท
นายสนิท กล่าวว่า นอกจากนี้ยังมีเรื่องของการปรับที่นั่งรถรถตู้โดยสารสาธารณะให้เหลือ 13 ที่นั่ง เพื่อให้ผู้โดยสารสามารถเคลื่อนตัวออกจากตัวรถได้ง่ายหากเกิดอุบัติเหตุขึ้น ซึ่งจะส่งผลดีในเรื่องของความปลอดภัย โดยขณะนี้อยู่ระหว่างพิจารณาในรายละเอียดว่าจะเอาที่นั่งตรงไหนออกไปบ้าง จากนั้นภายในวันที่ 5 เมษายน จะกำหนดหลักเกณฑ์ที่ชัดเจนออกมาเพื่อให้รถตู้โดยสารสาธารณะทุกคันนำไปปรับปรุงให้เป็นไปตามที่กฎหมายกำหนดต่อไป
สุดท้ายนี้ พล.ท.สรรเสริญ ได้เปิดเผยถึงการเล่นน้ำในวันสงกรานต์ปีนี้ ว่า “ส่งกรานต์ปีนี้ทางเจ้าหน้าที่ไม่ได้ห้ามนำโอ่ง หรือถังน้ำ ขึ้นท้ายรถกระบะ สามารถนำขึ้นได้ตามปกติ แต่จะต้องไม่มีคนไปนั่ง หรือยืนอยู่ท้ายรถ หากพบก็จะต้องถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจจับปรับแน่นอน โดยจะต้องนั่งรัดเข็มขัดนิรภัยอยู่ภายในห้องโดยสารเท่านั้น”…..
เมื่อวันที่ 24 มีนาคม พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี พร้อมผู้บริหารหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยมีพล.ต.ท.วิทยา ประยงค์พันธ์ ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พล.ต.ต.สมชาย เกาสำราญ ผู้บังคับการตำรวจทางหลวง นายกอบชัย บุญอรณะ รองอธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณะภัย พ.ต.อ.ทินกร ณัฏฐมั่งคั่ง รองผู้บังคับการตำรวจจราจร และนายสนิท พรหมวงษ์ อธิบดีกรมการขนส่งทางบก ได้ร่วมแถลงข่าว กรณีของรายละเอียดใน ม.44 ฉบับที่ 14/2560 เรื่อง มาตรการเพิ่มประสิทธิภาพการบังคับใช้กฎหมายว่าด้วยการจราจรทางบก
พล.ต.ท.วิทยา เผยว่า ม. 44 ที่ออกมาจะมีเรื่องของการห้ามจอดรถในที่ห้ามจอดด้วย ซึ่งในเรื่องนี้ทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติขอเวลาไปกำหนดรายละเอียดเกี่ยวกับการดำเนินการ รวมถึงค่าปรับต่างๆก่อน จึงจะเริ่มดำเนินการจับปรับอย่างจริงจังต่อไป ส่วนเรื่องของการบังคับให้คบขับ รวมถึงผู้โดยสารรถยนต์ส่วนบุคคลและรถโดยสารสาธารณะต้องคาดเข็มขัดนิรภัยนั้น ในระหว่างวันที่ 21 มีนาคม -4 เมษายน 2560 นี้ ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะเร่งทำการประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนได้รับทราบเกี่ยวกับคำสั่งตามมาตรา 44 ที่ออกมา หากพบเห็นผู้กระทำความผิดทางเจ้าหน้าที่พบเห็นจะเป็นการแจ้งเตือนก่อน ยังไม่มีการจับปรับตามกฎหมาย แต่ในวันที่ 5 เมษายน เป็นต้นไป จะไม่มีการแจ้งเตือนจากทางเจ้าหน้าที่ตำรวจอีกต่อไป เพราะจะดำเนินการจับปรับตามกฎหมายทันที เพราะถือว่าได้มีการแจ้งเตือนไปแล้ว
สำหรับรถโดยสารสาธารณะนั้น ไม่ว่าจะเป็นรถแท็กซี่ รถตู้ หรือรถทัวร์ จะต้องแจ้งเตือนให้ผู้โดยสารรัดเข็มขัดนิรภัยก่อนรถออกด้วย หรือจะต้องมีการติดป้ายแจ้งเตือนให้ผู้โดยสารรัดเข็มขัดนิรภัยตลอดการเดินทาง หากคนขับรถแจ้งแล้วผู้โดยสารไม่ปฏิบัติตาม หรือปฏิบัติตามแล้ว ระหว่างทางปลดออก หากเจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจพบก็จะต้องถูกปรับทั้งคนขับ และผู้โดยสาร ยกเว้นว่าทางคนขับได้ยืนยันแล้วว่าบอกให้ผู้โดยสารคาดเข็มขัดนิรภัยแล้ว แต่ผู้โดยสารไม่ยอมคาด ทางคนขับจึงจะไม่ถูกปรับ และจะปรับเฉพาะผู้โดยสาร โดยทางเจ้าหน้าที่ตำรวจจะดูที่เจตนาเป็นหลัก ส่วนรถโดยสารสองแถว และรถสามล้อเครื่อง(ตุ๊กตุ๊ก)จะไม่มีการบังคับให้รัดเข็มขัด แต่จะมีมาตรการอื่นออกมาบังคับใช้เพื่อความปลอดภัยแทน เช่น การติดตั้งราวกั้นเพิ่มเติมเพื่อความปลอดภัย และการบังคับลดความเร็ว เป็นต้น
ทางด้านของนายสนิท กล่าวว่า สำหรับอัตราค่าปรับของผู้ที่ไม่รัดเข็มขัดนิรภัยนั้น หากเป็นไปตามกฎหมายของกรมการขนส่งทางบก ซึ่งเป็นอำนาจของเจ้าหน้าของกรมการขนส่งทางบก ทางผู้ประกอบการจะต้องถูกปรับ 5 หมื่นบาท คนขับและผู้โดยสารปรับ 5 พันบาท แต่หากเป็นกฎหมายตาม พ.ร.บ.จราจร ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ตำรวจรับผิดชอบ รถโดยสารสาธารณะจะถูกปรับ 1 พันบาท ส่วนรถยนต์ส่วนบุคคลปรับ 500 บาท
นายสนิท กล่าวว่า นอกจากนี้ยังมีเรื่องของการปรับที่นั่งรถรถตู้โดยสารสาธารณะให้เหลือ 13 ที่นั่ง เพื่อให้ผู้โดยสารสามารถเคลื่อนตัวออกจากตัวรถได้ง่ายหากเกิดอุบัติเหตุขึ้น ซึ่งจะส่งผลดีในเรื่องของความปลอดภัย โดยขณะนี้อยู่ระหว่างพิจารณาในรายละเอียดว่าจะเอาที่นั่งตรงไหนออกไปบ้าง จากนั้นภายในวันที่ 5 เมษายน จะกำหนดหลักเกณฑ์ที่ชัดเจนออกมาเพื่อให้รถตู้โดยสารสาธารณะทุกคันนำไปปรับปรุงให้เป็นไปตามที่กฎหมายกำหนดต่อไป
สุดท้ายนี้ พล.ท.สรรเสริญ ได้เปิดเผยถึงการเล่นน้ำในวันสงกรานต์ปีนี้ ว่า “ส่งกรานต์ปีนี้ทางเจ้าหน้าที่ไม่ได้ห้ามนำโอ่ง หรือถังน้ำ ขึ้นท้ายรถกระบะ สามารถนำขึ้นได้ตามปกติ แต่จะต้องไม่มีคนไปนั่ง หรือยืนอยู่ท้ายรถ หากพบก็จะต้องถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจจับปรับแน่นอน โดยจะต้องนั่งรัดเข็มขัดนิรภัยอยู่ภายในห้องโดยสารเท่านั้น”…..