หลวงปู่สรวง สิริปุญโญ วัดศรีฐานใน อ.ป่าติ้ว จ.ยโสธร
ได้ละสังขารแล้วเวลาประมาณ 05.00 น. วันนี้ 25/3/2560 สิริอายุ 86 ปี
และขอน้อมกราบส่งหลวงพ่อสู่แดนพระนิพพานครับ
ประวัติ หลวงปู่ สรวง สิริปุญโญ
หลวงตาสรวง สิริปุญโญ วัดศรีฐานใน ต.ศรีฐาน อ.ป่าติ้ว จ.ยโสธร องค์ท่านถือกำเนิด ในสกุล “ลุล่วง” ตรงกับวันพฤหัสบดีที่ ๖ มิถุนายน พ.ศ.๒๔๗๓ ขึ้น ๙ ค่ำ เดือน ๗ ปีมะเมีย ณ บ้านศรีฐาน ต.กระจาย อ.คำเขื่อนแก้ว จ.อุบลราชธานี (ปัจจุบันคือ ต.ศรีฐาน อ.ป่าติ้ว จ.ยโสธร) มีพี่น้อง ๖ คน โดยมีหลวงตาพวง สุขินทริโย เป็นพระพี่ชาย สมัยที่ท่านยังเป็นเด็ก มารดาของท่านมักพาไปทำบุญที่วัดป่าศรีฐานในอยู่เสมอ วัดศรีฐานในนี้หลวงปู่บุญช่วย ธัมมวโร ลูกศิษย์ของหลวงปู่เสาร์ เป็นผู้มาสร้างขึ้น ปีที่องค์หลวงปู่เสาร์ กันตสีโล พาพระสงฆ์มาวิเวกปักกลดในป่า ภายในวัดป่าศรีฐานในนั้น เป็นช่วงที่หลวงตาสรวง ท่านเรียนอยู่ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๒ (ตำแหน่งที่หลวงปู่เสาร์ มาปักกลดปัจจุบันอยู่บริเวณกุฏิหลังเก่าของหลวงตาสรวงนั่นเอง) ท่านได้ติดตามโยมแม่ มาถวายภัตตาหารหลวงปู่เสาร์ และยังได้มีโอกาสล้างเท้าหลวงปู่เสาร์ ประเคนอาหาร ล้างกระโถนให้ท่าน และได้ก้นบาตรไปกินที่โรงเรียนอีกด้วย เมื่อหลวงปู่เสาร์ อำลาบ้านศรฐาน ไปวัดดอนธาตุ อ.พิบูลมังสาหาร จ.อุบลราชธานี พี่ชายท่านหลวงตาพวง ซึ่งตอนนั้นเรียนจบแล้ว ได้มีโอกาสติดตามหลวงปู่เสาร์ไปด้วยกันกับหลวงปู่สอ สุมังคโล ส่วนที่วัดศรีฐานใน ภายหลังหลวงปู่ดี ฉันโน ศิษย์เอกของหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ได้มาเป็นเจ้าอาวาส ทำให้หลวงตาสรวง เมื่อครั้นยังเป็นเด็กได้มีโอกาสฟังธรรมจากพระกัมมัฏฐาน และเป็นการปลูกฝังนิสัยในทางพระพุทธศาสนาเพิ่มเติมขึ้นไปอีก
หลวงตาสรวง ท่านอุปสมบท เมื่ออายุ ๒๓ ปี ตรงกับวันที่ ๑ กรกฎาคม พ.ศ.๒๔๙๖ ณ วัดศรีฐานใน จ.ยโสธร โดยมี พระครูพิศาลศีลคุณ(หลวงปู่โฮม วิสาโท) เป็นพระอุปัชฌาย์ หลวงปู่บุญสิงห์ สีหนาโท เป็นพระกรรมวาจาจารย์ หลวงปู่คำสิงห์ อาภาโส เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้รับฉายาทางพุทธศาสนาว่า “สิริปุญโญ” แปลว่า “ผู้มีบุญอันประเสริฐ” ภายหลังจากบวชแล้ว ได้ไปศึกษาธรรมกับพ่อแม่ครูอาจารย์หลาย ๆ รูป เช่น หลวงปู่ฝั้น อาจาโร , หลวงปู่มหาบุญมี สิริธโร , หลวงปู่ชอบ ฐานสโม , หลวงปู่ขาว อนาลโย , หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน เป็นต้น
“..กรรมฐาน ๕ พระอุปัชฌาย์ให้แล้วตั้งแต่วันบวช ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง ให้พิจารณา ให้จิตมันเบื่อหน่ายกาย มันถึงจะได้ไม่มาเกิดอีก ถ้าไม่เบื่อมันก็มาเกิดอีก ถ้าเกิดอีกก็แสดงว่ายังมีบาปยังมีบุญ…” โอวาทธรรมคำสอนหลวงตาสรวง สิริปุญโญ
ศึกษาธรรมอยู่กับหลวงปู่ฝั้น อาจาโร ที่วัดถ้ำขาม จ.สกลนคร
. . . ช่วงที่อยู่ที่ถ้ำขามนั้น พระอาจารย์สรวงท่านเล่าว่า เสือมันร้องอยู่ตลอด ทำให้จิตไม่ค่อยเป็นสมาธิ เพราะกลัวเสือ วันหนึ่งหลังสรงน้ำหลวงปู่ฝั้น เสร็จก็ไปนวดเส้นท่าน หลวงปู่ฝั้น ถามว่า “ท่านภาวนากันยังไง ภาวนาแบบไหนไม่มีพุทโธ ระวังพวกช้างพวกเสือจะมาคาบไปกินหล่ะ” พอหลวงปู่ฝั้น พูดเสร็จ ก็ยิ่งทำให้ท่านเกิดความกลัวยิ่งขึ้น หลวงปู่ฝั้น จึงบอกว่า “ขยับมานี่ จะบอกคาถาลี้ช้างลี้เสือให้” จากนั้นหลวงปู่ฝั้น ก็มาจับที่มือ ตอนที่เราประนมมือไหว้อยู่ ชี้ลงที่กลางหน้าอก และบอกว่า “ให้เอาจิตจี้ลงไปตรงนี้ จี้ลงไปลึก ๆ อย่าให้มันออกไปที่อื่น ให้มันเข้าไปที่โครงกระดูกลึก ๆ โน่น ให้ทำทุกวัน อย่าให้มันส่งออกไปที่อื่น”
จากนั้นจึงได้ทำตามคำสอนของหลวงปู่ฝั้น พอกลับไปที่กุฏิก็ได้ยินเสียงเสือมันร้องอีก ก็เลยกำหนดตามคำสอน เอาจิตจดจ่อไปที่กลางอกเข้าไปที่กลางกระดูก พอจิตสงบก็เห็นโครงกระดูกทั้งร่าง ภาวนาต่อไปจนจิตมันสงบ มารู้ตัวอีกทีก็เช้าแล้ว พระอาจารย์สรวง ท่านเล่าว่า “พอจิตมันเข้าไปอยู่ที่ตรงนั้นแล้วมันมีอำนาจมาก ไม่รู้สึกกลัวช้างกลัวเสือเลย มีแต่ความกล้าหาญ หากเราเคยทำกรรมกับมันไว้ก็ขอให้เสือมันกินเลย จะได้หมดเวรหมดกรรม” นี่แหละ หลังจากนั้นก็ไม่กลัวช้างกลัวเสืออีกเลย
ศึกษาธรรมอยู่กับหลวงปู่มหาบุญมี สิริธโร ที่วัดป่าเขารัง จ.อุดรธานี
. . . ช่วงที่จำพรรษาอยู่กับหลวงปู่มหาบุญมี ได้มีโอกาสอุปัฏฐากรับใช้องค์ท่านด้วย ในพรรษานี้พระอาจารย์สรวง ท่านได้ถือเนสันชิก คือถืออริยบท ๓ ยืน เดิน และนั่ง ไม่เอนกายนอนตลอดไตรมาส หลวงปู่มหาบุญมี ท่านก็ต้องการทดสอบ ว่าจะมีความตั้งใจมากน้อยแค่ไหน วันหนึ่งได้ไปนวดจับเส้นที่เท้าหลวงปู่มหาบุญมี ขณะที่นวด ๆ อยู่ก็รู้สึกง่วงเหงาหาวนอน และไม่รู้สึกตัว หลับฟุบคาขาของท่าน หลวงปู่มหาบุญมี ก็เลยใช้เท้าถีบยันพระอาจารย์สรวง ติดฝาผนังกุฏิ พอหลวงตาสรวงรู้สึกตัวก็ค่อย ๆ คลานเข้าไปจับเส้นที่เท้าต่อ พอเริ่มหลับก็โดนถีบอีกนับไปนับมาคืนนั้นโดนยันไป ๓ รอบ
ต่อจากนั้น หลวงปู่มหาบุญมี ก็ลุกขึ้นไปเดินจงกรม พระอาจารย์สรวง เห็นดังนั้นจึงลุกขึ้นไปเดินจงกรมเช่นกัน เมื่ออาจารย์ท่านเนจงกรมไม่หยุด ลูกศิษย์ก็ต้องเดินต่อทั้งง่วง ๆ อย่างนั้นแหละ เดินจนสว่าง หลวงปู่มหาบุญมี ท่านก็สะพายบาตรไปที่ศษลา พระอาจารย์สรวง ก็เตรียมหาน้ำไปถวายหลวงปู่ ล้างหน้าบ้วนปาก และทำข้อวัตรตามปกติ หลวงปู่มหาบุญมี ได้ถาม พระอาจารย์สรวงว่า “เป็นอย่างไร กิเลสตัวใหญ่มั้ย มันตัวใหญ่ขนาดไหนนะกิเลส”
พระอาจารย์สรวง ตอบว่า “ไม่ได้มีอะไรครับหลวงปู่ ดีแล้ที่หลวงปู่ตักเตือนให้ ทำให้มีสติขึ้นมาพอสมควรครับ” ถ้าเป็นพระรูปอื่นโดนแบบนี้คงหนีหายไปเลย หรือไม่ก็โกรธเคืองครูบาอาจารย์เป็นอย่างมาก แต่สำหรับพระอาจารย์สรวง ท่านกลับขอบพระคุณในความเมตตาของหลวงปู่มหาบุญมี ที่ให้ข้อคิด และทำให้ท่านสามารถตั้งฐานตั้งตัวนี้ให้มั่นคงในการประพฤติปฏิบัติต่อไปได้
ศึกษาธรรมอยู่กับหลวงปู่ชอบ ฐานสโม ที่วัดป่าอัมพวัน จ.เลย
. . . คืนหนึ่งท่านได้จับเส้นถวายหลวงปู่ชอบ หลวงปู่จึงถามถึงการทำความเพียรว่า “เอาจิตไว้ที่ไหน” จึงกราบเรียนท่านไปว่า “หลวงปู่ฝั้น บอกให้ดูที่อก เอาไว้ในโครงกระดูกข้างใน กระผมจึงดูที่หัวใจตั้งแต่นั้นมา” หลวงปู่ชอบพูดว่า “เออดี ให้ทำอยู่ทุกวัน ทุกคืน ทุกลมหายใจเข้าออก ขอให้เร่งเร็ว ๆ ให้เดินหน้า อย่าถอยหลังนะ” พอจับเส้นเสร็จก็ออกจากกุฏิท่าน ไปเดินจงกรมต่อ ซึ่งทางจงกรมอยู่ไม่ไกลจากกุฏิหลวงปู่ชอบมากนัก สักครู่ได้มองเห็นแสงสว่างเจิดจ้าสว่างไสววยพุ่งสู่ท้องฟ้าทางด้านกุฏิหลวงปู่ชอบอยู่ที่เนินสูง ๆ อีกสักครู่ได้ยินเสียงชาวบ้านตื่นตระหนกตกใจ พากันวิ่งกรูพร้อมถือถังน้ำ ร้องเรียกไฟไหม้ ๆ กุฏิหลวงปู่ชอบ พอไปถึงกุฏิ หลวงปู่ชอบท่านออกจากสมาธิ แล้วบอกลูกหลานชาวบ้านว่า “พากันมาทำไม ไม่เห็นมีไฟไหม้ที่ไหน แสงไฟอันนี้ไม่มีพิษภัยกับใคร เป็นแสงศีลแสงธรรมนั่นเอง การที่เกิดเป็นแสงรัศมีโชติช่วงในบริเวณกุฏินั้นเป็นเพราะอานิสงส์จากการภาวนานั่นเอง
เมื่อช่วงกลางเดือนมกราคม ปี พ.ศ.๒๕๕๖ เวลาประมาณตี ๔ ตี ๕ ขณะที่หลวงตาสรวง ท่านกำลังพักอยู่ภายในกุฏิ ได้มีเทวบุตร เทวธิดา จำนวนมากมายมหาศาล ลอยผ่านมาทางอากาศ เมื่อผ่านมาทางวัดศรีฐานใน ก็ลงมากราบนมัสการท่าน แล้วลอยไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือต่อไปทางจังหวัดมุกดาหาร เป็นจำนวนมากเต็มท้องฟ้า มีเทวดาเป็นหมื่นเป็นแสนลอยอยู่เต็มท้องฟ้าเลย
พอช่วงเช้า เวลาฉันจังหัน หลวงตาสรวง จึงได้เล่าเหตุการณ์นี้ให้พระสงฆ์ที่วัดฟัง เรื่องเห็นเทวดาจำนวนมากลอยอยู่บนอากาศ พอเมื่อเวลาสาย ๆ ใกล้ ๆ เที่ยง พระที่วัดจึงมากราบเรียนว่า มีโยมโทรศัพท์มาแจ้งว่า “หลวงปู่จาม มหาปุญโญ ท่านละสังขารลงเมื่อเวลา ๐๙.๐๙ น. ช่วงเช้าวันนี้เอง(วันเสาร์ที่ ๑๙ มกราคม ๒๕๕๖)” หลวงตาสรวง ท่านจึงพูดว่า “มิน่าถึงได้เห็นเทวดามาจำนวนมากมายมหาศาลลอยมาทั่วทุกทิศทุกทาง ที่แท้ก็เพื่อไปรอรับหลวงปู่จาม เรานี่เอง”
ปัจจุบัน เมื่อวันที่ ๖ มิถุนายน ๒๕๕๗ ที่ผ่านมา หลวงตาสรวง สิริปุญโญ มีอายุวัฒนมงคลครบ ๘๔ ปี และในพรรษานี้ ท่านก็จะจำพรรษาอยู่ที่วัดศรีฐานใน อ.ป่าติ้ว จ.ยโสธร เช่นเคย
“..ถ้าความเพียรของเรากล้า มันเผาได้หมดทุกอย่าง เผากิเลสได้หมด เผาความโลภ ความโกรธ ความหลง ออกจากหัวใจของสัตว์โลก เผาได้หมดทุกอย่าง ในร่างกายของเรานี้อะไรจะมาขวางไม่ได้ จะมาปิดบังไม่ได้..” โอวาทธรรมคำสอนหลวงตาสรวง สิริปุญโญ
ประวัติ หลวงปู่ สรวง สิริปุญโญ
หลวงตาสรวง สิริปุญโญ วัดศรีฐานใน ต.ศรีฐาน อ.ป่าติ้ว จ.ยโสธร องค์ท่านถือกำเนิด ในสกุล “ลุล่วง” ตรงกับวันพฤหัสบดีที่ ๖ มิถุนายน พ.ศ.๒๔๗๓ ขึ้น ๙ ค่ำ เดือน ๗ ปีมะเมีย ณ บ้านศรีฐาน ต.กระจาย อ.คำเขื่อนแก้ว จ.อุบลราชธานี (ปัจจุบันคือ ต.ศรีฐาน อ.ป่าติ้ว จ.ยโสธร) มีพี่น้อง ๖ คน โดยมีหลวงตาพวง สุขินทริโย เป็นพระพี่ชาย สมัยที่ท่านยังเป็นเด็ก มารดาของท่านมักพาไปทำบุญที่วัดป่าศรีฐานในอยู่เสมอ วัดศรีฐานในนี้หลวงปู่บุญช่วย ธัมมวโร ลูกศิษย์ของหลวงปู่เสาร์ เป็นผู้มาสร้างขึ้น ปีที่องค์หลวงปู่เสาร์ กันตสีโล พาพระสงฆ์มาวิเวกปักกลดในป่า ภายในวัดป่าศรีฐานในนั้น เป็นช่วงที่หลวงตาสรวง ท่านเรียนอยู่ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๒ (ตำแหน่งที่หลวงปู่เสาร์ มาปักกลดปัจจุบันอยู่บริเวณกุฏิหลังเก่าของหลวงตาสรวงนั่นเอง) ท่านได้ติดตามโยมแม่ มาถวายภัตตาหารหลวงปู่เสาร์ และยังได้มีโอกาสล้างเท้าหลวงปู่เสาร์ ประเคนอาหาร ล้างกระโถนให้ท่าน และได้ก้นบาตรไปกินที่โรงเรียนอีกด้วย เมื่อหลวงปู่เสาร์ อำลาบ้านศรฐาน ไปวัดดอนธาตุ อ.พิบูลมังสาหาร จ.อุบลราชธานี พี่ชายท่านหลวงตาพวง ซึ่งตอนนั้นเรียนจบแล้ว ได้มีโอกาสติดตามหลวงปู่เสาร์ไปด้วยกันกับหลวงปู่สอ สุมังคโล ส่วนที่วัดศรีฐานใน ภายหลังหลวงปู่ดี ฉันโน ศิษย์เอกของหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ได้มาเป็นเจ้าอาวาส ทำให้หลวงตาสรวง เมื่อครั้นยังเป็นเด็กได้มีโอกาสฟังธรรมจากพระกัมมัฏฐาน และเป็นการปลูกฝังนิสัยในทางพระพุทธศาสนาเพิ่มเติมขึ้นไปอีก
หลวงตาสรวง ท่านอุปสมบท เมื่ออายุ ๒๓ ปี ตรงกับวันที่ ๑ กรกฎาคม พ.ศ.๒๔๙๖ ณ วัดศรีฐานใน จ.ยโสธร โดยมี พระครูพิศาลศีลคุณ(หลวงปู่โฮม วิสาโท) เป็นพระอุปัชฌาย์ หลวงปู่บุญสิงห์ สีหนาโท เป็นพระกรรมวาจาจารย์ หลวงปู่คำสิงห์ อาภาโส เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้รับฉายาทางพุทธศาสนาว่า “สิริปุญโญ” แปลว่า “ผู้มีบุญอันประเสริฐ” ภายหลังจากบวชแล้ว ได้ไปศึกษาธรรมกับพ่อแม่ครูอาจารย์หลาย ๆ รูป เช่น หลวงปู่ฝั้น อาจาโร , หลวงปู่มหาบุญมี สิริธโร , หลวงปู่ชอบ ฐานสโม , หลวงปู่ขาว อนาลโย , หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน เป็นต้น
“..กรรมฐาน ๕ พระอุปัชฌาย์ให้แล้วตั้งแต่วันบวช ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง ให้พิจารณา ให้จิตมันเบื่อหน่ายกาย มันถึงจะได้ไม่มาเกิดอีก ถ้าไม่เบื่อมันก็มาเกิดอีก ถ้าเกิดอีกก็แสดงว่ายังมีบาปยังมีบุญ…” โอวาทธรรมคำสอนหลวงตาสรวง สิริปุญโญ
ศึกษาธรรมอยู่กับหลวงปู่ฝั้น อาจาโร ที่วัดถ้ำขาม จ.สกลนคร
. . . ช่วงที่อยู่ที่ถ้ำขามนั้น พระอาจารย์สรวงท่านเล่าว่า เสือมันร้องอยู่ตลอด ทำให้จิตไม่ค่อยเป็นสมาธิ เพราะกลัวเสือ วันหนึ่งหลังสรงน้ำหลวงปู่ฝั้น เสร็จก็ไปนวดเส้นท่าน หลวงปู่ฝั้น ถามว่า “ท่านภาวนากันยังไง ภาวนาแบบไหนไม่มีพุทโธ ระวังพวกช้างพวกเสือจะมาคาบไปกินหล่ะ” พอหลวงปู่ฝั้น พูดเสร็จ ก็ยิ่งทำให้ท่านเกิดความกลัวยิ่งขึ้น หลวงปู่ฝั้น จึงบอกว่า “ขยับมานี่ จะบอกคาถาลี้ช้างลี้เสือให้” จากนั้นหลวงปู่ฝั้น ก็มาจับที่มือ ตอนที่เราประนมมือไหว้อยู่ ชี้ลงที่กลางหน้าอก และบอกว่า “ให้เอาจิตจี้ลงไปตรงนี้ จี้ลงไปลึก ๆ อย่าให้มันออกไปที่อื่น ให้มันเข้าไปที่โครงกระดูกลึก ๆ โน่น ให้ทำทุกวัน อย่าให้มันส่งออกไปที่อื่น”
จากนั้นจึงได้ทำตามคำสอนของหลวงปู่ฝั้น พอกลับไปที่กุฏิก็ได้ยินเสียงเสือมันร้องอีก ก็เลยกำหนดตามคำสอน เอาจิตจดจ่อไปที่กลางอกเข้าไปที่กลางกระดูก พอจิตสงบก็เห็นโครงกระดูกทั้งร่าง ภาวนาต่อไปจนจิตมันสงบ มารู้ตัวอีกทีก็เช้าแล้ว พระอาจารย์สรวง ท่านเล่าว่า “พอจิตมันเข้าไปอยู่ที่ตรงนั้นแล้วมันมีอำนาจมาก ไม่รู้สึกกลัวช้างกลัวเสือเลย มีแต่ความกล้าหาญ หากเราเคยทำกรรมกับมันไว้ก็ขอให้เสือมันกินเลย จะได้หมดเวรหมดกรรม” นี่แหละ หลังจากนั้นก็ไม่กลัวช้างกลัวเสืออีกเลย
ศึกษาธรรมอยู่กับหลวงปู่มหาบุญมี สิริธโร ที่วัดป่าเขารัง จ.อุดรธานี
. . . ช่วงที่จำพรรษาอยู่กับหลวงปู่มหาบุญมี ได้มีโอกาสอุปัฏฐากรับใช้องค์ท่านด้วย ในพรรษานี้พระอาจารย์สรวง ท่านได้ถือเนสันชิก คือถืออริยบท ๓ ยืน เดิน และนั่ง ไม่เอนกายนอนตลอดไตรมาส หลวงปู่มหาบุญมี ท่านก็ต้องการทดสอบ ว่าจะมีความตั้งใจมากน้อยแค่ไหน วันหนึ่งได้ไปนวดจับเส้นที่เท้าหลวงปู่มหาบุญมี ขณะที่นวด ๆ อยู่ก็รู้สึกง่วงเหงาหาวนอน และไม่รู้สึกตัว หลับฟุบคาขาของท่าน หลวงปู่มหาบุญมี ก็เลยใช้เท้าถีบยันพระอาจารย์สรวง ติดฝาผนังกุฏิ พอหลวงตาสรวงรู้สึกตัวก็ค่อย ๆ คลานเข้าไปจับเส้นที่เท้าต่อ พอเริ่มหลับก็โดนถีบอีกนับไปนับมาคืนนั้นโดนยันไป ๓ รอบ
ต่อจากนั้น หลวงปู่มหาบุญมี ก็ลุกขึ้นไปเดินจงกรม พระอาจารย์สรวง เห็นดังนั้นจึงลุกขึ้นไปเดินจงกรมเช่นกัน เมื่ออาจารย์ท่านเนจงกรมไม่หยุด ลูกศิษย์ก็ต้องเดินต่อทั้งง่วง ๆ อย่างนั้นแหละ เดินจนสว่าง หลวงปู่มหาบุญมี ท่านก็สะพายบาตรไปที่ศษลา พระอาจารย์สรวง ก็เตรียมหาน้ำไปถวายหลวงปู่ ล้างหน้าบ้วนปาก และทำข้อวัตรตามปกติ หลวงปู่มหาบุญมี ได้ถาม พระอาจารย์สรวงว่า “เป็นอย่างไร กิเลสตัวใหญ่มั้ย มันตัวใหญ่ขนาดไหนนะกิเลส”
พระอาจารย์สรวง ตอบว่า “ไม่ได้มีอะไรครับหลวงปู่ ดีแล้ที่หลวงปู่ตักเตือนให้ ทำให้มีสติขึ้นมาพอสมควรครับ” ถ้าเป็นพระรูปอื่นโดนแบบนี้คงหนีหายไปเลย หรือไม่ก็โกรธเคืองครูบาอาจารย์เป็นอย่างมาก แต่สำหรับพระอาจารย์สรวง ท่านกลับขอบพระคุณในความเมตตาของหลวงปู่มหาบุญมี ที่ให้ข้อคิด และทำให้ท่านสามารถตั้งฐานตั้งตัวนี้ให้มั่นคงในการประพฤติปฏิบัติต่อไปได้
ศึกษาธรรมอยู่กับหลวงปู่ชอบ ฐานสโม ที่วัดป่าอัมพวัน จ.เลย
. . . คืนหนึ่งท่านได้จับเส้นถวายหลวงปู่ชอบ หลวงปู่จึงถามถึงการทำความเพียรว่า “เอาจิตไว้ที่ไหน” จึงกราบเรียนท่านไปว่า “หลวงปู่ฝั้น บอกให้ดูที่อก เอาไว้ในโครงกระดูกข้างใน กระผมจึงดูที่หัวใจตั้งแต่นั้นมา” หลวงปู่ชอบพูดว่า “เออดี ให้ทำอยู่ทุกวัน ทุกคืน ทุกลมหายใจเข้าออก ขอให้เร่งเร็ว ๆ ให้เดินหน้า อย่าถอยหลังนะ” พอจับเส้นเสร็จก็ออกจากกุฏิท่าน ไปเดินจงกรมต่อ ซึ่งทางจงกรมอยู่ไม่ไกลจากกุฏิหลวงปู่ชอบมากนัก สักครู่ได้มองเห็นแสงสว่างเจิดจ้าสว่างไสววยพุ่งสู่ท้องฟ้าทางด้านกุฏิหลวงปู่ชอบอยู่ที่เนินสูง ๆ อีกสักครู่ได้ยินเสียงชาวบ้านตื่นตระหนกตกใจ พากันวิ่งกรูพร้อมถือถังน้ำ ร้องเรียกไฟไหม้ ๆ กุฏิหลวงปู่ชอบ พอไปถึงกุฏิ หลวงปู่ชอบท่านออกจากสมาธิ แล้วบอกลูกหลานชาวบ้านว่า “พากันมาทำไม ไม่เห็นมีไฟไหม้ที่ไหน แสงไฟอันนี้ไม่มีพิษภัยกับใคร เป็นแสงศีลแสงธรรมนั่นเอง การที่เกิดเป็นแสงรัศมีโชติช่วงในบริเวณกุฏินั้นเป็นเพราะอานิสงส์จากการภาวนานั่นเอง
เมื่อช่วงกลางเดือนมกราคม ปี พ.ศ.๒๕๕๖ เวลาประมาณตี ๔ ตี ๕ ขณะที่หลวงตาสรวง ท่านกำลังพักอยู่ภายในกุฏิ ได้มีเทวบุตร เทวธิดา จำนวนมากมายมหาศาล ลอยผ่านมาทางอากาศ เมื่อผ่านมาทางวัดศรีฐานใน ก็ลงมากราบนมัสการท่าน แล้วลอยไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือต่อไปทางจังหวัดมุกดาหาร เป็นจำนวนมากเต็มท้องฟ้า มีเทวดาเป็นหมื่นเป็นแสนลอยอยู่เต็มท้องฟ้าเลย
พอช่วงเช้า เวลาฉันจังหัน หลวงตาสรวง จึงได้เล่าเหตุการณ์นี้ให้พระสงฆ์ที่วัดฟัง เรื่องเห็นเทวดาจำนวนมากลอยอยู่บนอากาศ พอเมื่อเวลาสาย ๆ ใกล้ ๆ เที่ยง พระที่วัดจึงมากราบเรียนว่า มีโยมโทรศัพท์มาแจ้งว่า “หลวงปู่จาม มหาปุญโญ ท่านละสังขารลงเมื่อเวลา ๐๙.๐๙ น. ช่วงเช้าวันนี้เอง(วันเสาร์ที่ ๑๙ มกราคม ๒๕๕๖)” หลวงตาสรวง ท่านจึงพูดว่า “มิน่าถึงได้เห็นเทวดามาจำนวนมากมายมหาศาลลอยมาทั่วทุกทิศทุกทาง ที่แท้ก็เพื่อไปรอรับหลวงปู่จาม เรานี่เอง”
ปัจจุบัน เมื่อวันที่ ๖ มิถุนายน ๒๕๕๗ ที่ผ่านมา หลวงตาสรวง สิริปุญโญ มีอายุวัฒนมงคลครบ ๘๔ ปี และในพรรษานี้ ท่านก็จะจำพรรษาอยู่ที่วัดศรีฐานใน อ.ป่าติ้ว จ.ยโสธร เช่นเคย
“..ถ้าความเพียรของเรากล้า มันเผาได้หมดทุกอย่าง เผากิเลสได้หมด เผาความโลภ ความโกรธ ความหลง ออกจากหัวใจของสัตว์โลก เผาได้หมดทุกอย่าง ในร่างกายของเรานี้อะไรจะมาขวางไม่ได้ จะมาปิดบังไม่ได้..” โอวาทธรรมคำสอนหลวงตาสรวง สิริปุญโญ